สำหรับผู้สนใจ
ของศักดิ์สิทธิ์มีพลังมากขึ้นนั้น ต้องอาศัย"หัวใจของผู้บูชา"ด้วยเช่นกัน
จะให้ของศักดิ์สิทธิ์มีพลังมากขึ้นนั้น ต้องอาศัย"หัวใจของผู้บูชา"ด้วยเช่นกัน
พระปิดตา หลวงพ่อชม วัดสิงห์
พระปิดตาในตำนาน.....โรงพยาบาลไม่ได้กินตังค์พระปิดตา หลวงพ่อชม วัดสิงห์ จ.เพชรบุรี พระสร้างช่วงปี ๒๔๗กว่าๆถึง๒๔๘กว่า องค์นี้แต่งเก่า เนื้อตะเกียงลานที่หายาก จารครบสูตร งามสวยผิวเดิมๆระดับประกวด........ประวัติ หลวงพ่อชม จนฺทโชติ นามเดิม ชม นุชนาถ เกิด เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๕ ตรงกับปีวอก บ้านวังปืน ตำบลบ้านหม้อ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี บิดา – มารดา นายนุช นางแจ่ม นุชนาถ ประวัติ หลวงพ่อชม จนฺทโชติ อุปสมบท การศึกษาเมื่อยังเด็ก บิดา มารดาได้นำไปฝากกับ เจ้าอธิการแหยม วัดสิงห์ เรียนหนังสือไทยและขอม จนพออ่านออกเขียนได้ อีกทั้งบิดายังได้ถ่ายทอดวิชาเกี่ยวกับยาและการรักษาให้ จนมีความชำนาญ สามารถตรวจรักษาคนไข้ได้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๖ ประวัติความมีชื่อเสียง หลังจากอุปสมบทได้รักษาพยาบาลพระภิกษุ สามเณรที่อาพาธ ตลอดจนญาติโยมชาวบ้าน จนมีชี่อเสียงโด่งดังด้านการรักษาและหมอน้ำมนต์ อุปนิสัยของพ่อประการหนึ่ง คือ ชอบเล่นแร่แปรธาตุ โดยเฉพาะ ปรอท ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ หลวงพ่อชมอายุได้ ๒๗ ปี ท่านเจ้าอธิการแหยมถึงแก่มรณาภาพ จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส สืบต่อมา เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านและพระภิกษุสามเณร และเป็นครูบาอาจารย์ที่ดุมาก ปี พ.ศ.๒๔๘๐ อายุ ๖๕ ปี ๔๔ พรรษา ได้รับแต่งตั้งเป็น พระอุปัชฌาย์ และเป็นหมอยาประจำตำบลหนองโสน วัตถุมงคลที่ขึ้นชื่อ วัตถุมงคลที่โดดเด่นของหลวงพ่อชม มี ๒ ชนิด คือ เชือกคาดเอว มีอานุภาพทางด้านคงกระพันชาตรีเป็นเลิศ และพระปิดตามหาอุตม์ ประกอบด้วย เนื้อเมฆพัตร เนื้อทองแดงเถื่อน และเนื้อตะกั่ว พระปิดตาหลวงพ่อชมมีชื่อเสียงโดดเด่น เรื่องคงกระพันชาตรี ไม่เป็นรองใคร ท่านสร้างประมาณปี 247กว่าๆ จนนักเลงเมืองเพชร ไม่กล้าลอง (นักเลงสมัยก่อนชอบลองยิงพระ ) เพราะกล่าวกันว่า ปิดตาหลวงพ่อชมวัดสิงห์ลองยิงทีไรไม่เคยออก แถมบางทีปืนที่ยิงถึงกับแตก! เป็นอันตารยได้นั้นเองครับ จึงเป็นพระปิดตาที่เป็นเอกอุด้านคงกระพันชาตรีอย่างยิ่ง หลวงพ่อชม มรณภาพ เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๘๖ รวมสิริอายุ ๗๑ ปี..........หากกล่าวถึงเมืองเพชรผู้ฅนมักนึกถึงต้นตาล และผลิตผลจากต้นตาลหากหลายชนิด เมืองเพชรขึ้นชื่อเรื่องขนมหวาน ทั้งเป็นเมืองฅนจริงเขาว่าฅนเมืองนี้ดุ แน่นอนว่าพระเกจิอาจารย์เมืองนี้ต้องขลังจริง ที่สำคัญต้องเก่งทางเหนียวคงแบบทดลองได้ เมืองนี้ฅนขี้ตกใจมีอะไรมามักโป้งป้างไม่ทันตั้งตัว เกจิเมืองเพชรมีอยู่มากพอควร ล้วนแต่ขึ้นชื่อทางเหนียวคง ยังมีพระคณาจารย์ยุคเก่าผู้ขึ้นชื่อทางสายเอวลงอาคม ฅนเมืองเพชรรู้ว่าสายเอวสำนักนี้ **แมลงวันไม่ได้กินเลือด** ท่านผู้ทรงคุณที่กล่าวถึงนี้ คือ หลวงพ่อชม จนฺทโชติ วัดสิงห์ ....................หลวงพ่อชม จนฺทโชติ (นุชนาท) พื้นเพท่านเป็นฅนบ้านวังบ้านปืน ตำบลบ้านหม้อ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ท่านถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี วอก พ.ศ. ๒๔๑๖ (นับเวลาถึงปัจจุบัน ๑๔๒ ปี) เป็นบุตรของคุณพ่อนุช – คุณแม่แจ่ม มีพี่น้องร่วมอุทรทั้งสิ้น ๕ ฅน ส่วนหลวงพ่อชมเป็นบุตรฅนที่ ๓ บิดาท่านเป็นหมอยาโบราณมีชื่อเสียงมาก เมื่อวัยเยาว์ได้เข้าศึกษาหนังสือไท – ขอมกับท่านเจ้าอธิการแหยม วัดสิงห์ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดสิงห์ เมื่ออุปสมบทแล้วโยมบิดาได้ถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ แต่ท่านจนหมดภูมิ ทั้งทางหมอยาและหมอน้ำมนต์ สมัยหนุ่มหลวงพ่อชมท่านชอบศึกษา และทดลองวิชาที่เรียนมา โดยเฉพาะการเล่นแร่แปรธาตุ วิธีหุงโลหะศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ซึ่งโลหะที่หุงสำเร็จนี้ ภายหลังนำมาสร้างเป็นพระปิดตา หรือพระมหาอุด จัดเป็นของดีคุณวิเศษสูงด้วยสร้างจากโลหะสำเร็จ เป็นที่เสาะหากันมาจวบจนปัจจุบัน....................ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ปีกุน เอกศก ขณะนั้นหลวงพ่อชมมีชนมายุได้ ๒๗ ปี ท่านเจ้าอธิการแหยม มรณภาพลง หลวงพ่อชมจึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสิงห์สืบต่อมา หลวงพ่อชมท่านเป็นฅนดุเด็ดขาด เป็นครูสอนบอกหนังสือแก่พระภิกษุสามเณร ทั้งเป็นที่พึ่งแก่ชาวบ้านในยามตกทุกข์ได้ยาก เป็นทั้งหมอยาและหมอน้ำมนต์รักษาชาวบ้าน ..........ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ปีจอ โทศก หลวงพ่อชมมีชนมายุได้ ๓๘ ปีพรรษาที่ ๑๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) ทรงสร้างพระราชวังบ้านปืน (พระรามราชนิเวศน์) ได้กำหนดเขตพระราชฐานถึงวัดสิงห์ มาถึงเชิงสะพานอุรุพงษ์ มีกำนหดให้ย้ายวัดสิงห์ โดยพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นค่ารื้อถอน..........ในศกนั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว ทางวัดสิงห์เริ่มทำการรื้อถอน และเคลื่อนย้ายเสนาสนะต่าง ๆ ไปตั้งที่วัดแกลบ ตำบลหนองโสนอำเภอเมืองเพชรบุรี ณ วัดแกลบก่อนย้ายวัดสิงห์มานั้น มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่เพียง ๔ รูป เสนาสนะภายในวัดมีสภาพทรุดโทรมมาก เมื่อหลวงพ่อชมย้ายมาอยู่ได้เปลี่ยนชื่อวัด ให้ใช้ชื่อวัดสิงห์แทนวัดแกลบ ภายหลังมีเจ้าศรัทธาถวายที่ดินทำให้เนื้อที่วัดเพิ่มขึ้นจากเดิม มีความเจริญขึ้นโดยลำดับนับแต่นั้น..........ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ปีเถาะ นพศก หลวงพ่อชมมีดำริสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ ใช้เวลาก่อสร้างอยู่นานราว ๗ ปี นับเป็นพระอุโบสถที่ใหญ่โตมากในยุคนั้น ผูกพัทธสีมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงพ่อชมมีชนมายุได้ ๖๕ ปี พรรษาที่ ๔๔ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ในฐานะเจ้าคณะหมวดตำบลหนองโสน จวบจนวันเสาร์ที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีมะแม หลวงพ่อชมถึงกาลมรณภาพลง สิริอายุได้ ๗๑ ปี พรรษา ๔๙ สร้างความโศกเศร้าอาลัยแก่สาธุชนทั้งหลายเป็นอย่างมาก .............................** คุณวิเศษและเรื่องเล่า **..........หลวงพ่อชมท่านชอบทางหล่อหลอมโลหะ เล่นแร่แปรธาตุดังที่กล่าวไปข้างต้น ทั้งชอบการหุงหรือซัดปรอท ว่ากันว่าท่านสำเร็จปรอท สามารถหุงปรอทสำเร็จเป็นปรอทกายสิทธิ์ โดยท่านไปดักเอาปรอทมาทำการหุงตามตำรา แล้วนำมาปั้นเป็นก้อนกลม โดยใช้จุลสีกับสมุนไพรบางชนิด เช่น ใบพระจันทร์เสี้ยว, ใบพรหมมิ ฯลฯ นำมาบดลงในโกร่งบด แล้วนำมาปลุกเสกกลายของศักดิ์สิทธิ์ ท่านยังได้นำปรอทวิเศษนี้มาทำเป็นลูกสะกด ทำของขลังแจกแก่ศิษย์ในยุคแรก..........มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ที่หน้าพระอุโบสถวัดสิงห์เก่าครั้งยังตั้งอยู่ที่บ้านปืน เห็นมีสิงโตหินใหญ่ตั้งอยู่หนึ่งคู่ เล่ากันว่ามีผู้สำเร็จปรอทนำปรอทสำเร็จ (อาจเป็นอาจารย์หลวงพ่อชม) นำมาฝังไว้ในตัวสิงห์คู่นี้เพื่อคุ้มครองรักษาโบสถ์ มีเรื่องเล่าว่าสิงห์คู่นี้ศักดิ์สิทธิ์มากวันดีคืนมักหายไป ไม่นานสิงห์นี้ก็กลับมายังที่เดิมได้เอง วันหนึ่งมีพระภิกษุขึ้นไปนั่งอ่านหนังสือที่หลังตัวสิงห์ เมื่อพระภิกษุตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ในดินแดนเวิ้งว้าง รอบตัวสิงห์ที่ท่านนั่งอยู่มีหน่อทองค่ำอยู่เกลื่อนกล่น เห็นสิงห์นั้นก้มหน้าก้มตากินหน่อทองอยู่ ครู่หนึ่งสิงห์หินก็โดดแผ้วกลับมาอยู่ที่หน้าโบสถ์เช่นเดิม พระภิกษุเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังก็ไม่สู้มีใครเชื่อ
