กลุ่มเช่าประมูล


กลุ่มประมูลซื้อขายพระ เครื่องราง
(facebook)

วิธีดูเขี้ยวสัตว์
แยกแยะเขี้ยว

กลุ่มหนึ่งตู้ม้า

LINE ID: 
spyamulet

FACEBOOK
หนึ่ง ตู้ม้า

สำหรับผู้สนใจ

ของศักดิ์สิทธิ์มีพลังมากขึ้นนั้น ต้องอาศัย"หัวใจของผู้บูชา"ด้วยเช่นกัน

***เคล็ดความศักดิ์สิทธิ์***
จะให้ของศักดิ์สิทธิ์มีพลังมากขึ้นนั้น ต้องอาศัย"หัวใจของผู้บูชา"ด้วยเช่นกัน
ยิ่งศรัทธามากเท่าไหร่ ยิ่งขลังมาก!!! 
ยิ่งมากคนบูชา ยิ่งมากความศักดิ์สิทธิ์

หลวงพ่อโอภาสี



หลวงพ่อโอภาสี
โดย
เล็ก พลูโต

สายตาของพระภิกษุวัยกลางคน ครองจีวรสีคร่ำ จับจ้องไปที่กองวัสดุที่กองพูนอยู่ตรงหน้า สรรพสิ่งที่กองอยู่นั้นคล้ายกับกองขยะ แต่สิ่งที่กองอยู่นั้นเป็นขยะที่มีค่า มีราคาทั้งสิ้น อาทิ เช่น สบง - จีวรผืนใหม่หลายผืน ธนบัตรใบละร้อย สีแดง ๆ ใบละยี่สิบ สีเขียว ๆ เป็นปึก ๆ โต๊ะมุกอย่างดี ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ มีทั้งเครื่องอุปโภค บริโภคอย่างดี รวมทั้ง แก้ว แหวน เงิน ทอง ของประดับที่มีค่าต่าง ๆ ฯลฯ ร่างของท่านยืนสงบนิ่ง เหมือนจะจ้องสิ่งเหล่านั้นให้มอดไหม้มลายไปด้วยสายตาอันคมกล้า
กระป๋องใบเล็ก ๆ ที่ท่านถือมาด้วยถูกเปิดฝาออก แล้วสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในก็ถูกเทราดลงไปบนกองขยะอันสูงค่านั้น  ลมพัดโชยกลิ่นฉุนกึก ใช่แล้ว น้ำมันก๊าดเชื้อเพลิงชั้นดีสำหรับเผาข้าวของต่าง ๆ ให้มอดมลายไปภายใต้ความร้อนแรง อะไรกันนั่น ท่านจะเผาทำลายของมีค่าเหล่านั้นหรือ ?
ไม้ขีดไฟถูกขีดให้ลุกเป็นเปลวไฟ ถูกดีดวูบลงไปบนกองวัสดุอย่างรวดเร็ว เสียงพรึ่บเบา ๆ ดังขึ้น  เปลวไฟสีส้มค่อย ๆ รวมตัวกันเผาไหม้ข้าวของที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำมันก๊าด จนกลายเป็นกองเพลิงแดงฉานส่องสว่างไปทั่วลานวัดบวรนิเวศวิหาร ด้านคณะรังสี
มหาชวน จุดไฟเผาวัดแล้วโว๊ย
ใครคนหนึ่งที่บังเอิญตื่นขึ้นมาพอดี   ส่งเสียงร้องอย่างเต็มเสียงก้องไปทั่วทั้งวัดบวร ฯ ปลุกให้บรรดาพระและศิษย์วัดพากันวิ่งตรูมาที่จุดเกิดเหตุ ในขณะที่มหาชวนกำลังโปรยธนบัตรใบละร้อย ใบละยี่สิบลงไปในกองไฟอย่างไม่ยี่หระค่าของเงิน
หยุดเดี๋ยวนี้นะมหาชวน คุณทำเกินไปแล้ว นี่มันเขตวัดนะคุณ ผมเป็นผู้ดูแล คุณทำเรื่องที่ไม่น่าทำ พรุ่งนี้ผมจะนำเรื่องขึ้นกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ให้พระองค์ท่านจัดการชำระความ ผมทนต่อไปไม่ได้แล้ว
ร่างของพระผู้เผาของมีค่า ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับเสียงของเจ้าคณะกุฏิอันเป็นผู้ปกครองของพระรูปนั้น  ท่านยังคงโยนของมีค่าเข้าไปเพิ่มในกองไฟต่อไปเรื่อย ๆ
ใครก็ได้ไปเอาน้ำมาดับเดี๋ยวนี้ ขืนให้เผาต่อไป วัดจะไหม้หมด นี่วัดหลวงนะ ไม่ใช่วัดบ้านนอก
พระผู้บูชาไฟหันหน้ากลับมาจ้องหน้าผู้ออกคำสั่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งเสียงที่ฟังดูประหลาดอย่างยิ่ง
มหาชวนไม่มีแล้ว มหาชวนตายไปแล้ว ไม่มีมหาชวนในโลกนี้ มีแต่โอภาสี โอภาสีไงล่ะ
โอภาสง โอภาสีที่ไหนกัน พรุ่งนี้ก็รู้เรื่องกันล่ะ
ไฟดับมอดไปแล้ว  ร่างของพระภิกษุโอภาสีค่อย ๆ เดินกลับไปยังกุฏิที่พำนักของท่าน  ส่วนพระและศิษย์วัดที่ต้องพากันตื่นขึ้นจากที่นอน  ก็พากันเดินกลับกุฏิของตนไปอีกทางหนึ่ง บางคนบ่นอู้อี้ว่า ทำไม ต้องมาปลุกกันตอนนี้ด้วย กำลังหลับสบายทีเดียว
รุ่งเช้า เรื่องก็ถูกนำขึ้นกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานะเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร  ผู้นำเรื่องขึ้นกราบทูลนั้น แจ้งข้ออธิกรณ์ถึงสึกออกจากภิกษุสภาวะ แต่สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงพระปรีชาญาณ มิได้ทรงฟังความเพียงฝ่ายเดียว รับสั่งให้พระมหาชวนขึ้นเฝ้าตอนสายวันนั้น
การซักถาม และการวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์นั้น ทรงมีพระดำรัสว่า ข้อหารุนแรงถึงให้สึกจากภิกษุสภาวะนั้นไม่มี  มีแต่เรื่องโลกวัชชะ (ชาวโลก หรือ ชาวบ้านเขาติเตียน) และหากไฟที่จุดเกิดไหม้ลามไปติดหมู่กุฏิ ก็จะพลอยเสียทรัพย์สินของศาสนาไป ขอให้พระมหาชวนเลือกเอาสองข้อ คือ
๑. อยู่จำพรรษาต่อไป แต่ต้องหยุดเผาไฟบูชาเพลิงให้หมดสิ้น
๒. ออกจากวัดบวรนิเวศวิหาร ไปอยู่ที่อื่น
เลือกอย่างใด ให้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน พระมหาชวน กราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเจ้าว่า เกล้า ฯ ขอเลือกประการที่สอง คือ จาริกไปจากวัดบวร ฯ เพื่อให้ฝ่าพระบาทสบายพระทัย และคณะสงฆ์ส่วนรวมจะได้ไม่วุ่นวาย เกล้า ฯ ขอกราบพระบาทลาตั้งแต่บัดนี้
จากนั้นท่านพระมหาชวนก็กลับมาที่กุฏิ รวบรวมบริขาร และกลดธุดงค์ที่มีอยู่เข้าที่เข้าทาง เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง แล้วท่านก็เดินไปกราบนมัสการลา หลวงพ่อพระพุทธชินสีห์ ในพระอุโบสถ จากนั้น จึงแบกกลดธุดงค์ออกจากวัดบวรนิเวศวิหารไปในตอนบ่ายของวันนั้นนั่นเอง
ตกเย็น ญาติโยมที่เคยมานมัสการพระมหาชวน ก็ต้องพากันผิดหวัง เมื่อพระที่อยู่กุฏิใกล้กันบอกว่า พระมหาชวนออกจากวัดไปแล้ว ไปไหนไม่ได้บอกจุดหมาย เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้ได้
พระมหาชวนแบกกลดธุดงค์ไปตามทางของท่าน ค่ำไหนก็ปักกลดที่นั้น  ปักกลดที่ใดก็เอาสรรพสิ่งมาเผาไฟเป็นพุทธบูชาทุกแห่งไป ทั้งนี้ เพราะเมื่อก่อนจะมาเผาไฟเป็นพุทธบูชานั้น ท่านได้เคยไปนมัสการ  หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกาอ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ได้เห็นว่า หลวงพ่อกบท่านนำเอาของมีค่าต่าง ๆ มาเผา ก็สนใจไปถามไถ่กับท่านตรง ๆ
หลวงพ่อไม่เสียดายหรือ ของมีค่าทั้งนั้น
เสียดายไปทำไมเล่า ก็สิ่งของเหล่านั้นมันคือ กิเลส ความจริงมันก็คือ อ้ายเศษขยะธรรมดา แต่มนุษย์เราไปยึดติดมันให้มีค่า มีราคากันไปเอง โดยตัวของมันแล้วไม่มีค่าอะไร เรายึดติดมัน ก็พอกพูนกิเลสให้กับเรามากขึ้น กิเลสเป็นของร้อน ต้องเอาไฟมาเผาให้มันวินาศไปเป็นพุทธบูชาว่า พระองค์ทรงสอนให้ละกิเลส และนี่คือ กิเลส ล่ะ
พระมหาชวนได้ฟังแล้วก็เลื่อมใส  จึงถวายตัวเป็นศิษย์เรียนกรรมฐาน  เพราะไม่รู้มาก่อนเลยว่า การบำเพ็ญทางจิตนั้นเป็นอย่างไร  นานพอสมควรที่พระมหาชวนเล่าเรียนกรรมฐานต่าง ๆ จากหลวงพ่อกบ อำนาจอันเกิดจากการเจริญสมาธิภาวนาจนถึงฌานสมาบัติ  ทำให้พระมหาชวนสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ดุจเดียวกับอาจารย์ของท่าน จึงเดินทางกลับมายังวัดบวร ฯ จนมีเหตุต้องถูกให้ออกจากวัด
พระมหาชวนแบกกลดมาจนถึงสวนลึกในเขตบางมด  เป็นสวนส้มของคหบดีท่านหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้มานมัสการ และเกิดศรัทธา ได้ถวายที่ดินให้พระมหาชวน ซึ่งท่านได้แจ้งนามแก่คหบดีท่านนั้นว่า ท่านชื่อ โอกาสี” ต่อมาท่านได้สร้างสำนักสงฆ์ขึ้น ให้ชื่อว่า สำนักสงฆ์โอภาสี” ปัจจุบันได้กลายเป็นวัดอย่างสมบูรณ์ ชื่อว่า วัดโอภาสี
หลวงพ่อโอภาสี  เดิมชื่อ ชวน นามสกุล มะลิพันธ์  ถือกำเนิดที่บ้านตรอกไฟฟ้า อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช  ได้เล่าเรียนอักขระสมัยในสำนักวัดใต้ นครศรีธรรมราช แต่เนื่องจากวัดใต้ไม่มีสำนักเรียนที่เหมาะสม จึงได้ย้ายไปเรียนในสำนักวัดโพธิ์ สามเณรชวนจึงได้ถือกำเนิด ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์นี้เอง ในสำนักเรียนพระปริยัติในวัดโพธิ์ สามเณรชวนเล่าเรียนปริยัติด้วยความขยันขันแข็ง และฉลาดเฉลียวเป็นที่พอใจของเจ้าสำนักบาลีเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับออกปากว่า สิ้นประโยคนักธรรมในวัดแล้ว จะส่งมาเรียนในกรุงเทพ ฯ ให้ถึงที่สุด
สามเณรชวนได้ถูกส่งมายังวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพ ฯ ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ในองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งได้ทรงรับไว้ในพระอุปการะ และทรงทำการอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุในพัทธสีมาวัดบวร ฯ โดยทรงนั่งเป็นพระอุปัชฌาย์
พระภิกษุชวนเล่าเรียนพระปริยัติธรรมจนสอบได้เปรียญธรรม ๗ ประโยค เข้ารับพระราชทานพัดจากพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรียกกันติดปากว่า พระมหาชวน เปรียญเอก
หลังจากได้พบกับหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา แล้ว  พระมหาชวนก็เก็บตัวนั่งวิปัสสนาตลอดวัน  ออกบิณฑบาตและฉันเช้าเพียงครั้งเดียว (ฉันเอกา) จะเปิดกุฏิก็ตอนบ่าย เปิดมาก็เอาสิ่งของต่าง ๆ มาเผา ตอนแรกก็น้อย ๆ ก่อน คนจีนแถวบางลำพูเห็นเข้า ก็เกิดศรัทธา เรียกท่านว่า เซียน” ได้พากันมาถวายของเพื่อให้ท่านเผาเป็นการใหญ่
มีผู้นมัสการเรียนถามพระมหาชวน หลายต่อหลายคนด้วยกัน ด้วยคำถามที่ซ้ำ ๆ กันว่า พระมหาชวน ทำไม ?จึงเป็น โอภาสี
ท่านก็ตอบออกมาเหมือนกันทุกครั้งว่า มหาชวนมรณภาพไปแล้ว ที่อยู่นี่คือ โอภาสี โอภาสี คือ ผู้ถวายเพลิงเป็นพุทธบูชา
หลวงพ่ออายุเท่าใดแล้วขอรับ
ใครคนหนึ่งถามด้วยความอยากรู้เป็นกำลัง หลวงพ่อโอภาสีตอบแบบให้กลับไปคิดว่า
ในโลกก็หกสิบปีแล้ว แต่อายุจริงนั้น อาตมาไม่รู้เลย มันเนิ่นนานเป็นยิ่งนัก
หากจะวิเคราะห์กันถึงประเด็นนี้ ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้เป็นสองนัย คือ
นัยแรก วิญญาณของพระมหาชวน เดิมนั้นถึงวาระต้องแยกจากสังขาร ด้วยการมรณภาพตามธรรมดา ปกติวิสัย แต่เมื่อวิญญาณพระมหาชวนออกจากร่างไปแล้ว วิญญาณของเทพ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่าง ได้มาสวมร่างท่านเพื่อบำเพ็ญบารมีธรรมต่อไป ท่านจึงบอกว่า อายุในโลกนั้นหกสิบ แต่อายุจริงนั้นไม่รู้
นัยที่สอง เป็นปริศนาธรรมว่า จะรู้อายุไปด้วยเหตุใดกัน หกสิบแล้วก็เท่านั้นแหละ มันไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องมาเรียนรู้เลย
แต่จากปากคำของผู้ที่เป็นศิษย์รับใช้พระมหาชวน ตั้งแต่เริ่มมาอยู่วัดบวร ฯ ยืนยันว่า
พระมหาชวน เดิมนั้นเป็นพระเรียบร้อย พูดจาเสียงเบา ๆ และสำรวมมีสมณสารูปอันน่าเลื่อมใส สมกับเป็นพระมหาเปรียญเจ็ดประโยค แต่เมื่อเป็นโอภาสีแล้ว ผิดกันเป็นคนละคน พูดจาเสียงดังและโฮกฮาก มีอารมณ์ร้อนเหมือนไฟ เหมือนกับเป็นคนละคน
แสดงให้เห็นว่า พระมหาชวนเดิมนั้น น่าจะตายไปจริงตามที่ท่านบอก และที่น่าประหลาดใจก็คือ ตั้งแต่พระมหาชวนกลายเป็นหลวงพ่อโอภาสีนั้น จะสะสมพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร. ๕ ไว้เต็มกุฏิไปหมด และท่านก็เคยถ่ายภาพในอิริยาบถที่ประคองพระบรมรูปไว้หลายครั้งด้วยกัน
ดังนั้น แนวโน้มที่บอกว่า โอภาสี คือ ดวงวิญญาณดวงหนึ่ง ที่เข้ามาอาศัยสังขารของพระมหาชวนในการบำเพ็ญบารมี และวิญญาณนั้นน่าจะเป็นวิญญาณเทพ หรือ พรหม ที่มาจากต่างภพ ต่างมิติ ที่ต้องการมาสร้างบารมีเพิ่มเติมในโลกมนุษย์ จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้มาก
เดิมทีหลวงพ่อโอภาสีเผาแต่สิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นกองเล็ก ๆ โดยเริ่มจากการตามประทีปก่อน ต่อมาเมื่อมีญาติโยมมามากเข้า ของถวายก็ถูกเผาวอดวายหมด กองไฟเพิ่มขึ้นจนสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ประธานสงฆ์แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร เกรงจะเกิดอัคคีภัย จึงนิมนต์ให้พระมหาชวนออกไปจากวัด
พระมหาชวนย้ำเสมอว่า ไฟร้อนแรง แต่แรงสู้ความร้อนของไฟกิเลสไม่ได้  ต้องเอาไฟเผาเชื้อกิเลส หรือ ข้าวของต่าง ๆ ให้หมด ให้กิเลสหมดที่ยึดเกาะ มันจะได้พินาศไปในกองไฟ ไฟ คือ สิ่งที่ผลาญกิเลสอาตมา หากมีชีวิตอยู่ จักไม่ให้ไฟมอดดับลงไปเป็นอันขาด กิเลสพอกพูนทุกนาที ต้องมีอัคคีคอยดับให้ทัน
เถ้าธูปและสิ่งของที่เผา  หลวงพ่อโอภาสีไม่ได้เอาไปไหน แต่เก็บรวบรวมเอาไว้เป็นมวลสาร เพื่อนำไปสร้างพระสมเด็จขนาดเขื่องกว่าพระสมเด็จทั่วไป แจกจ่ายให้ศิษยานุศิษย์ และผู้ศรัทธานำไปติดตัว ทุกวันนี้ใครมีไว้ครอบครองต่างก็หวงแหน เป็นของดีที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อศิษย์พากันกระจายข่าวออกไปว่า พระมหาชวน หรือ หลวงพ่อโอภาสีจะแจกพระ ผู้คนต่างมาเข้าคิวรอกันตั้งแต่ประตูวัดบวร ฯ ไปจนถึงถนนสิบสามห้าง ล้นหลามเหมือนมีงานมหกรรม เล่นเอาตำรวจต้องมาคอยอำนายความสะดวก คอยกั้นรถรา เพื่อให้การจราจรเลื่อนไหลไม่ติดขัด
หลวงพ่อโอภาสี ได้กล่าวถึงพระของท่านว่า วัสดุที่นำมาสร้างเป็นกิเลสที่เผาไหม้หมดแล้ว ต่อไปก็จะเหลือแต่เถ้าที่บริสุทธิ์ จงรักษาความบริสุทธิ์ไว้ให้จงดี พระนี้จะคุ้มครองป้องกันผู้ที่มีกิเลสอันขัดเกลาไว้บางเบาเท่านั้น จงหมั่นระมัดระวังอย่าให้กิเลสพอกพูน ไม่งั้นแล้วจะเผาหมด แม้กระทั่งตัวเองก็จะต้องถูกเผาไปด้วย
หลวงพ่อโอภาสี ได้กำหนดจิตภาวนาในสวนส้มแห่งหนึ่ง โดยอาศัยพื้นที่ทางท้ายสวนที่มีศาลเจ้าจีนปลูกอยู่ด้วย ในตอนกลางคืนแสงไฟจากการเผาสรรพสิ่งทั้งหลายของหลวงพ่อ จะสว่างจ้าไปทั้งสวน  เป็นที่แปลกใจของชาวบ้านซึ่งพากันมานมัสการท่าน เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า หลวงพ่อโอภาสีเป็นใครกันแน่ ?
อาตมานามว่า โอภาสี โอภาสี แปลว่า ความสว่างไสว ความสว่างไสวที่สุดในโลก สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสว่า แสงสว่างใดจะเสมอเหมือนด้วยแสงสว่างแห่งปัญญาได้เลยไม่มี อาตมาชอบบูชาไฟถวายเป็นพุทธบูชา ความสว่าง คือ โอภาสี อาตมา คือ ผู้ชอบแสงสว่าง นามว่า โอภาสี
นายเนียม คหบดีเจ้าของสวนส้ม ได้พบเห็นอานุภาพของหลวงพ่อโอภาสีหลายอย่าง ก่อนที่จะนับถือ อาทิ เวลาฝนตก หลวงพ่อโอภาสีนั่งอยู่นอกกลดท่ามกลางสายฝน กองไฟก็ไม่ดับ หลวงพ่อก็ไม่เปียก ทั้ง ๆ ที่ฝนตกหนักจนน้ำล้นท้องร่องสวน เป็นอาทิ
นายเนียม คหบดี ได้เอ่ยปากยกที่ดินที่เป็นที่สวนส้มรอบ ๆ บริเวณที่หลวงพ่อโอภาสีปักกลด เพื่อทำสำนักสงฆ์โอภาสี หรือ อาศรมบางมด หลวงพ่อตกลงรับไว้ จึงมีการสร้างสำนักสงฆ์ ศิษยานุศิษย์ที่เคยคุ้นจากวัดบวรนิเวศวิหาร ก็แห่แหนกันไปหาหลวงพ่อ พากันสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นอย่างใหญ่โตในเวลาไม่ช้านัก
ที่สำนักสงฆ์ หรืออาศรมบางมดนี้เอง  ในกองไฟที่หลวงพ่อโอภาสีจุดถวายเป็นพุทธบูชานั้น  ปรากฏของประหลาดอย่างหนึ่ง คือ ลูกแก้วกลม ๆ ใส ๆ เหมือนแก้วน้ำค้าง ตกอยู่ในกองเถ้าถ่านนั่นเอง หลวงพ่อจะให้ใครก็จะบอกให้ไปเก็บเอาในขี้เถ้า ถ้าหลวงพ่อไม่ออกปากให้ไปเก็บ ต่อให้คอยเป็นวัน ๆ ก็ไม่เจอ เพราะมันเป็น แก้วสารพัดนึก” ที่เกิดจากการใช้อภิญญาจิตของหลวงพ่อโอภาสี เป็นของวิเศษเฉพาะตัว ผู้มีบุญเท่านั้นถึงจะได้เป็นเจ้าของ ลูกแก้วบางลูกนั้น ตรงกลางจะมีพระธาตุปรากฏอยู่ด้วย นับเป็นเรื่องประหลาดอย่างยิ่ง
ใครก็ตามที่ไปอยู่ตรงหน้าท่าน  ไม่อาจปิดบังความในใจได้เลย  หลวงพ่อจะพูดจี้ใจดำจนสะดุ้งไปตาม ๆ กัน ดังเรื่องที่เล่าขานกันในหมู่ลูกศิษย์ ดังนี้
รายแรก ตั้งใจจะมาขอเส้นเกศาของหลวงพ่อเก็บเอาไว้บูชา จึงตั้งใจมาแต่บ้าน พอมาพบหลวงพ่อแล้ว ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดอะไร เสียงหลวงพ่อโอภาสีก็กล่าวขึ้นว่า
เส้นผมอาตมามันเกรียนอย่างนี้ แล้วโยมจะเอาไปทำไมกัน ดึงก็ไม่ออก เวลาปลงก็เป็นเศษผมหมด อย่าเอาไปเลยไม่ได้การ
รายที่สอง เป็นคุณนายไฮโซ ขับรถเบ๊นซ์อย่างดี ไม่รู้ว่าไปทราบกิตติศัพท์อภินิหารต่าง ๆ ของหลวงพ่อมาจากใคร ที่มาเนี่ยะตั้งใจจะมาขอเลข ๓ ตัว กับหลวงพ่อโอภาสี ทำนองว่า อยากจะรู้ว่า ท่านเก่งจริงสมคำร่ำลือหรือไม่ พอกราบนมัสการเสร็จ เงยหน้าขึ้นมาไม่ทันจะอ้าปากพูดว่าอะไร หลวงพ่อก็ตวาดแหว เสียงดัง ฟังชัด ว่า
สะบัดก้นออกไปให้พ้นเสียแต่บัดนี้ทีเดียว แล้วอย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ สะบัดก้นลุกไปเลย สะบัดก้นไปให้พ้น ไป ไป ออกไปนะ
คุณนายแกโดนเข้าอย่างนั้น ก็เกิดความโกรธ ผสมความอายจนหน้าแดงก่ำ ที่หลวงพ่อขับไล่อย่างกะหมูกะหมา แถมยังใช้วาจาไม่สุภาพ ก็ลุกขึ้นหันหลัง สะบัดก้นจากไป ชนิดที่ไม่ต้องกราบลาหลวงพ่อเหมือนตอนขามา ทีนี้พอกลับมาถึงรถ ก็ฉุกคิดถึงคำว่า สะบัดก้น” ถ้าพูดอย่างสุภาพก็คือ บั้นท้าย” นั่นเอง คำว่า บั้นท้าย” คุณนายสมองไว ปรี่ไปดูท้ายรถของตัวเอง แล้วก็ยิ้มออก
อีกหลายวันต่อมา คุณนายเอาแบงค์ร้อย ใบแดง ๆ เป็นปึก ๆ มาถวายให้หลวงพ่อเผาเป็นการใหญ่ เพราะแกไปแทงหวยใต้ดินเลขท้ายรถของแกเอง ถูกทั้งหมดร่วมล้านบาท เงินล้านในสมัยก่อนปี พ.ศ. ๒๔๙๗ นั้น มันมีค่ามากมายมหาศาล ถ้าเทียบกับปัจจุบัน คงมีค่าไม่ต่ำกว่าร้อยล้านบาท เพราะสมัยก่อนนั้น ทองคำบาทละสี่ร้อยเท่านั้น
รายที่สาม เป็นคุณนายไฮโซเหมือนกัน รายนี้ไม่รู้ใครชักชวนมา มีความศรัทธาอยากจะทำบุญสร้างสำนักสงฆ์ต่อเติมจากที่ทำไว้ ปรากฏว่า เงินไม่พอ จึงถอดแหวนเพชร และสร้อยคอทองคำออกใส่ห่อ แล้วถวายหลวงพ่อ ปากก็บอกว่า ขอถวายของเพื่อทำบุญ ให้ไวยาวัจกรเอาไปขายให้ด้วยก็แล้วก้น หลวงพ่อก็บอกว่า
ไม่ต้องหรอก เอาเผาไฟให้มันสิ้นไปเลย ได้กุศลมากกว่า” ไม่พูดเปล่า ท่านลุกขึ้นเดินตรงไปยังกองไฟ แล้วเอาห่อใส่เครื่องประดับของคุณนายไปโยนลงกองไฟต่อหน้าต่อตา คุณนายเห็นอย่างนั้นก็ร้องเสียงหลงด้วยความเสียดาย
อย่าเผา อย่า ของดี ๆ ทั้งนั้น ดูซี เผาเสียแล้ว จะเอาบุญที่ไหนได้กันเล่า มีอย่างที่ไหน เผาวินาศหมด ไม่เอาแล้ว ไม่มาอีกแล้ว
หลวงพ่อโอภาสี กลับพูดสวนกลับว่า อ้ายพวกหัวเต่า หดเข้า หดออก ไม่มาอีกซีดี จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลา กลับไปเอาของคืนที่บ้าน...ไป๊ แล้วตราบใดที่ยังตัดความตระหนี่ไม่ได้ ก็อย่าได้กลับมาอีกเลย พวกศรัทธาหัวเต่า
หลังจากคุณนายศรัทธาหัวเต่า เดินกระทืบเท้าออกจากสำนักสงฆ์ไปแล้วก็กลับบ้าน พอขึ้นไปถึงห้องนอน ก็ต้องตาโตแทบจะถลนออกมาจากนอกเบ้า เพราะเครื่องเพชร เครื่องทอง ที่ตนเห็นหลวงพ่อโอภาสีเอาไปเผาไฟกับตา มากองอยู่บนที่นอนครบทุกชิ้น และทุกชิ้นล้วนเป็นของเธอเอง เธอจำลักษณะรูปพรรณ สัณฐาน ตำหนิ และลวดลายที่เธอสั่งทำโดยเฉพาะได้อย่างแม่นยำ
เรื่องนี้ศิษย์ผู้เล่าเรื่อง ซึ่งเป็นผู้ทราบจากปากของคุณนายไฮโซคนดังกล่าวในภายหลัง ได้ให้เหตุผลว่า เป็นพลังจากต่างมิติ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสสารให้กลายเป็นธุลี แล้วพุ่งไปในอากาศเท่ากับความเร็วแสง และไปรวมกันเป็นสสารอีกครั้งในสถานที่ ที่ได้กำหนดเอาไว้ ซึ่งพลังแบบนี้ เป็นสิ่งที่เหนือกว่าอภิญญาธรรมดาอย่างแน่นอน หากเป็นมหาอภิญญาอันอยู่ต่างมิติจริง ๆ
มีพวกลักเล็กขโมยน้อย เข้ามาทำการโจรกรรมข้าวของในสำนักสงฆ์เสมอ และก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล คนผู้นี้ชื่อยา” เป็นพวกเร่ร่อนอยู่แถวสำนักสงฆ์ เข้ามากิน มานอน มาถ่าย แล้วยังขโมยของสงฆ์อีก กรรมการสำนักสงฆ์จับได้ก็ขับไล่ไปให้พ้น แต่ก็ยังวนเวียนมาขโมยของเสมอ
กรรมการสำนักสงฆ์ไปกราบเรียนหลวงพ่อให้ได้รับทราบหลายหน วันนั้น หลวงพ่อคงจะนึกเคืองขึ้นมา จึงเผลอพูดออกมาว่า อ้ายบ้านั่นอีกแล้วเรอะ มันบ้าจริง ๆ
นายยา กลายเป็นคนบ้าไปภายในไม่กี่วัน หลังจากหลวงพ่อเผลอพูดออกไป เดินแก้ผ้าเหมือนเด็ก ๆ และเมื่อเข้ามาใกล้สำนักสงฆ์ ก็จะวิ่งร้องหนี เหมือนตกใจกลัวอะไรสักอย่าง เป็นที่น่าเวทนาสงสารมาก และแล้วก็สิ้นกรรม เมื่อไปเดินตัดหน้ารถบรรทุก โดนทับจนร่างกายแหลกเหลวไปทั้งตัว
หลวงประเสริฐรัฐวิจจเรณ์ อดีตผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นศิษย์ของหลวงพ่อโอภาสีอีกคนหนึ่งที่ใกล้ชิดพอสมควร วันนั้น คุณหลวงก็มานมัสการหลวงพ่อโอภาสีที่สำนักสงฆ์บางมด หลวงพ่อได้บอกกับคุณหลวงว่า
เอ็งมันซื่อดี มาหาข้าเสมอต้นเสมอปลาย เอ้า เอากิเลสไปสองใบนะ เอาไปเก็บไว้ให้ดี มันเป็นของดีที่ข้าจะมอบให้เอ็งไปทำทุน ทำก้นถุง เอ็งอยากได้อะไรก็อธิษฐานเอากับเงินนั่นก็แล้วกัน
ได้ธนบัตรขวัญถุงมาแล้ว ก็เอามาเก็บไว้อย่างดี และแล้วเพื่อนักเรียนรุ่นเดียวกันกับคุณหลวง จะเดินทางไปอยู่กับลูกสาวที่วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา และมีโครงการจะเปิดร้านอาหารไทยด้วย จึงมาขอของดีจากคุณหลวง คุณหลวงก็เห็นว่า เงินก้นถุงของหลวงพ่อโอภาสีนั้นดีที่สุด ตัวเองคงจะมีโอกาสได้อีก จึงเอาธนบัตรใบละร้อยสองใบให้เพื่อนไป แต่ก่อนให้ ได้จดหมายเลขธนบัตรไว้ทั้งสองใบ
หนึ่งปีผ่านไป คุณหลวงนึกอยากได้เงินก้นถุงใหม่ จึงไปนมัสการหลวงพ่อโอภาสี เพื่อจะขอเงินก้นถุง แต่ยังไม่ทันได้พูดเอ่ยปากขอ หลวงพ่อก็ชิงพูดก่อนว่า
เอ้านี่ไงล่ะ กิเลสสองใบ ใบละร้อย เอาไปซีข้าให้ เงินสองใบนี้ไม่ใช่เงินธรรมดานะ จบการศึกษามาจากวอชิงตัน ดี.ซี. เชียวนะ จะบอกให้
คุณหลวงรับเงินมาแล้วก็ไม่เฉลียวใจ แต่พอกลับมาถึงบ้าน นึกยังไงไม่ทราบ ได้นำธนบัตรสองใบที่ได้มาใหม่ ไปเทียบเคียงกับหมายเลขธนบัตรที่ได้ให้เพื่อนไปวอชิงตัน ดี.ซี. ปรากฎว่า เป็นหมายเลขเดียวกัน ตรงกันทุกตัว และเพื่อให้แน่ใจ จึงโทรเลขไปสอบถามเจ้าของธนบัตรที่วอชิงตัน แล้วคุณหลวงก็แทบช็อค เพราะมีโทรเลขตอบกลับมาว่า
เงินก้นถุงหายไปจากร้าน อยู่ดี ๆ ก็เหลือแต่กรอบเปล่า ๆ ไม่มีเงิน คิดว่าคนคงเอาไป เสียดายอยู่เหมือนกัน
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อโอภาสี ใช้มหาอภิญญาจากต่างมิติ เคลื่อนย้ายสสาร เหมือนเล่นกลข้ามทวีปกันเลยทีเดียว
หลวงพ่อโอภาสีได้เดินทางจากสำนักสงฆ์บางมดไปทางรถไฟ เพื่อเยี่ยมเยียนถิ่นเกิดของท่าน พบปะพี่น้องชาวบ้านปากพนังตามที่ท่านตั้งใจไว้ ในตู้รถไฟพิเศษที่คณะศิษย์เหมาเอาไว้ให้นั้นเอง ผู้คนที่จำหลวงพ่อโอภาสีได้ ต่างก็เข้ามานมัสการขอของดีจากหลวงพ่อกันอย่างไม่ขาดสาย
หลวงพ่อโอภาสีได้ล้วงลงไปในย่าม แล้วหยิบเหรียญบาทสมัยรัชกาลที่ ๕ ออกมาแจกจ่ายไปเรื่อย ๆ ศิษย์ต่างก็ใจคอไม่ดี เพราะกลัวว่าหลวงพ่อจะมีเงินแจกไม่พอเพียงกับคนที่มาขอ เนื่องจากหลวงพ่อไม่เคยให้ศิษย์คนไหนไปหาเหรียญนั้นมาให้แม้แต่เหรียญเดียว ไม่มีใครทราบว่า หลวงพ่อเอาเหรียญบาท ร.๕ ซึ่งเป็นของแท้ของเก่าจริง ๆ มีคนนำไปพิสูจน์แล้วในภายหลัง มาจากไหน?”
แต่การณ์กลับปรากฏว่า หลวงพ่อโอภาสีควักเงินออกมาจากย่าม แจกอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนถึงปลายทาง จ.นครศรีธรรมราช คำนวณแล้ว หลวงพ่อแจกไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเหรียญ
เมื่อหลวงพ่อได้เยี่ยมเยียนชาวปากพนัง และญาติโยมที่มาแสดงมุทิตาจิตพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็เดินทางกลับนครศรีธรรมราชด้วยเรือ  เมื่อเรือจะออกจากท่านั้น ผู้คนแห่แหนกันมาขอของดีจากท่าน แต่หลวงพ่อไม่มีให้ เพราะมีคนมาขอกันเป็นพันคน ในที่สุดหลวงพ่อก็ประกาศว่า ขอให้เตรียมตัวรับของแจก ไม่ต้องขึ้นมาบนเรือ ขอให้อยู่ที่ท่าเรือ
พอเรือติดเครื่อง หลวงพ่อก็เดินมายืนที่หัวเรือ พนมมือแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า ปากพึมพำ ๆ อยู่สักครู่ ท้องฟ้าอันแจ่มใสก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม พายุพัดกระหน่ำจนผู้คนที่ยืนอยู่เสื้อผ้าปลิว ผมปลิว แทบจะยืนไม่อยู่ ทันใดนั้น ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก โดยไม่มีเค้ามาก่อน เป็นที่ฉ่ำชื่นใจของทุกคนที่รอรับของแจกจากหลวงพ่อบนท่าเรือ ทุกคนต่างพนมมือขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน ต่างอธิษฐานขอพรจากฟ้าที่เทวดาเป็นผู้พรม เพราะต่างเชื่อว่า หลวงพ่อเรียกฝนมาพรมให้แทนน้ำมนต์นั่นเอง
พอเรือแล่นออกจากท่าไปจนลับสายตาแล้ว ฝนก็หยุดตก  ท้องฟ้าแจ่มใสขึ้นมาทันทีทันใด หลวงพ่อโอภาสีได้จากปากพนังไปแล้ว นับเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่หลวงพ่อกลับมาถิ่นเกิดของท่าน หลังจากที่ได้จากบ้านเกิดไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่กรุงเทพ ฯ เพราะท่านได้มรณภาพเสียก่อน ที่จะมีโอกาสหวนกลับคืนมาบ้านเกิดเป็นครั้งที่สอง
พุทธสมาคมแห่งประเทศอินเดีย  ได้ทำจดหมายนิมนต์หลวงพ่อไปนมัสการสังเวชนียสถาน และให้ญาติโยมได้นมัสการอย่างใกล้ชิด หลวงพ่อรับจดหมายมาอ่าน ในจดหมายแจ้งกำหนดการให้หลวงพ่อไปถึงอินเดียวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๙๘ แต่หลวงพ่อได้ให้ศิษย์ตอบจดหมายไปว่า ขอเลื่อนไปวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ จะสะดวกกว่า จึงมีการเปลี่ยนกำหนดการที่กำหนดไว้เดิมออกไป
การไปอินเดียคราวนี้ องค์สรภาณมธุรส (ท่านบ๋าวเอิง) แห่งวัดสมณานัมวรวิหาร สะพานขาว ได้ขอเดินทางร่วมกับหลวงพ่อโอภาสี โดยไปเรียนให้ทราบถึงสำนักสงฆ์บางมด แต่หลวงพ่อโอภาสีกลับตอบว่า
ไม่ได้หรอกคุณ ไปคราวนี้อาตมาไปแบบพิสดาร ไม่มีพาสปอร์ต ไม่มีใครไปด้วยได้เลยสักคน อีกอย่างหนึ่ง คุณมีธุระมาก ไปไม่ได้ จะห่วงหน้าพะวงหลังต่าง ๆ
องค์สรภาณมธุรรส (ท่านบ๋าวเอิง) ได้กล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดว่า อาตมาสงสัยอยู่แล้วว่า จะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน แต่ไม่กล้าซักถามท่าน เกรงบารมีท่านจริง ๆ ไม่งั้นคงถามให้รู้เรื่องไปเลย
วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ ที่ประเทศอินเดีย มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ด นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศอินเดีย กำลังพักผ่อนอิริยาบถในบ้าน พลันที่ผนังห้องเบื้องหน้า ก็ปรากฎกลุ่มควันจาง ๆ พวยพุ่งขึ้น และจับกลุ่มหนาขึ้น ภายในกลุ่มควันนั้น ปรากฎใบหน้าของ หลวงพ่อโอภาสี” ขึ้น ใบหน้าของท่านดูแจ่มใส มีรัศมีกระจายออกมาอย่างสวยงาม ท่านยิ้มให้ มิสเตอร์เอิร์ด อย่างเมตตา พลันกลุ่มควัน และภาพของหลวงพ่อโอภาสีก็มลายหายไปทันที
มิสเตอร์เอิร์ด ซึ่งเคยได้ข่าวว่า หลวงพ่อโอภาสีจะมาอินเดียแบบพิสดารจากท่านบ๋าวเอิง ก็รู้สึกว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ ครั้นตอนสายหน่อยกำลังจะออกจากบ้าน คนรับใช้ก็เข้ามาเรียนให้ทราบว่า มีนักบวชในศาสนาพุทธมาคอยพบอยู่ที่ห้องรับแขก มิสเตอร์เอิร์ด จึงรีบออกไปดู ในห้องรับแขกนั้นเอง หลวงพ่อโอภาสีนั่งคอยอยู่ มิสเตอร์เอิร์ด เข้าไปกราบแทบเท้าท่านด้วยความเคารพ
ทำไมหลวงพ่อไม่บอกล่วงหน้าถึงเวลาที่จะมา จะได้เอารถไปรับจากสนามบิน หลวงพ่อเดินทางมาที่บ้านผมลำบากมากไหม ?”
ไม่ลำบากเลย สบายมาก ฉันมาตามคำพูดของฉัน ให้คุณได้ประจักษ์ว่า คำพูดของโอภาสีเชื่อถือได้ ฉันลองบอกว่าจะมาแล้วล่ะก็ อะไรก็ห้ามกันไม่ได้ ฉันมาแล้วล่ะ เธอจะได้สบายใจ
มิสเตอร์เอิร์ด จึงให้นำน้ำชามาต้อนรับหลวงพ่อโอภาสี และขอตัวไปเตรียมตัว จะเอารถพาหลวงพ่อโอภาสีไปเที่ยวดูภายในเมือง แต่หลวงพ่อโอภาสีได้กล่าวเป็นคำสุดท้ายว่า
ไม่ต้องวุ่นวายหรอกคุณ ฉันเพียงแต่มาให้เห็นเท่านั้นแหละ ไม่ต้องวุ่นวาย
มิสเตอร์เอิร์ด หายไปเพียงสิบนาที ก็พร้อมจะนิมนต์หลวงพ่อขึ้นรถ แต่พอมาถึงห้องรับแขก ร่างของหลวงพ่อโอภาสีก็ไม่มีอยู่แล้ว จึงออกไปดูหน้าบ้านก็ไม่พบอีก จึงเรียกคนรับใช้มาสอบถาม คนรับใช้ก็บอกว่า นั่งมองดูอยู่หน้าบ้านเป็นเวลานานแล้ว ไม่เห็นมีพระออกมาเลย มิสเตอร์เอิร์ด รู้สึกใจหายวาบ ไม่ยอมออกจากบ้าน เพราะเกรงว่าหลวงพ่ออาจจะมาเตือนอันตราย แต่แล้วในตอนบ่ายสามโมง โทรเลขด่วนก็มาถึง มิสเตอร์เอิร์ด พอฉีกโทรเลขออกอ่าน มิสเตอร์เอิร์ด ก็เข่าอ่อนทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง ข้อความในโทรเลขมีใจความว่า
หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพ เวลา ๐๗.๓๐ น. วันที่ ๓๑ กำหนดการ งดทั้งหมด
หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพตอน ๐๗.๓๐ น. แล้วภาพในกลุ่มควันนั้นเป็นอะไรกันแน่ มิสเตอร์เอิร์ดเหมือนถูกทุบหัวด้วยตะลุมพุก แล้วหลวงพ่อโอภาสีที่ได้คุยกันอยู่เมื่อครู่มาได้อย่างไรกัน นอกจากจะเป็นกายทิพย่าของหลวงพ่อ มิสเตอร์เอิร์ด รีบจองเที่ยวบินที่ด่วนที่สุด เดินทางมาบางมดทันที
เมื่อมาถึงก็ได้พบศพของหลวงพ่อโอภาสี นอนมรณภาพ มีมุ้งกางไว้เหมือนคนนอนหลับ ร่างกายไม่แข็ง แต่นิ่มเหมือนคนนอนหลับทั่วไป เรื่องราวของหลวงพ่อไปปรากฏร่างถึงอินเดีย จึงปรากฏขึ้นจากปากของมิสเตอร์เอิร์ด เสียงร่ำไห้ของศิษย์จึงดังระงมขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ทุกวันนี้ ศพของหลวงพ่อโอภาสียังไม่ได้เผา ตั้งไว้ที่วัดโอภาสี บางมด และสรีระของท่านไม่เน่าเปื่อย แต่กลับแข็งเป็นหินโดยตลอดทั้งร่าง สมกับเป็นพระผู้อุดมด้วยศีลาจารวัตรผู้มาจากต่างมิติ สวมร่างของพระมหาชวนซึ่งสิ้นบุญมรณภาพในช่วงแห่งความตายที่วัดบวรนิเวศวิหาร
วัตถุมงคลของหลวงพ่อโอภาสี นอกจากจะมีพระสมเด็จขนาดเขื่องแล้ว ยังมีผ้าประเจียดล็อคเก็ตสตางค์แดงลูกแก้วพระกริ่งอรหัง วัดราชบพิธธนบัตรขวัญถุงภาพถ่ายเหรียญ ร.๕ ฯลฯ ซึ่งของเหล่านี้ เป็นของดีเฉพาะตัว หากใครไม่ได้รับแจกมาจากมือท่านโดยตรง หรือได้มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มักจะได้ของปลอมมากกว่าของแท้ แม้กระทั่งเหรียญของท่านที่นิยมในวงการ สร้างและปลุกเสกในขณะที่ท่านยังไม่ละสังขาร ซึ่งมีด้วยกัน ๔ รุ่น คือ
รุ่นแรก สร้างปี พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นเหรียญรูปกลม ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อครึ่งองค์ แกะใบหน้าได้เหมือนหลวงพ่อมากที่สุด ไม่มีอักขระเลขยันต์หรือลวดลายใด ๆ มีเครื่องหมายบวก หรือ กาชาด เล็ก ๆ อยู่ชิดติดขอบเหรียญตรงกลางด้านล่าง ใต้รูปหลวงพ่อ ด้านหลังเป็นยันต์สวัสดิกะ (เครื่องหมายที่ฮิตเลอร์ หรือ นาซี นำมาใช้เป็นสัญลักษณ์) รายล้อมด้วยพระคาถาที่ท่านมอบให้ศิษย์ เขียนเป็นภาษาไทย รายรอบชิดติดขอบเหรียญ
รุ่นสอง สร้างปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เป็นเหรียญรูปทรงคล้ายน้ำเต้า ขอบบนที่ติดกับหูเหรียญเป็นรอยหยัก ๖ หยัก ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อครึ่งองค์ มีพญานาค ๒ ตัว ข้างละตัว ขนาบอยู่ข้างใบหน้าหลวงพ่อ มีชื่อเขียนไว้ว่า โอภาสี อยู่ใต้รูป ด้านหลังเป็นยันต์สวัสดิกะ มีตัวอุณาโลม อยู่ ๔ ตัว ๔ ทิศ บอกเลขปี พ.ศ.ที่สร้างเป็นเลขไทย คือ ๒๔๙๖ ด้านล่างยันต์ ส่วนด้านข้างของยันต์ เป็นรูปพญานาคขนดลำตัว ข้างซ้ายขวา ข้างละตัว เหนือพญานาค เป็นรูป ตัว อ.อ่าง” มีรัศมีโดยรอบ
รุ่นสาม สร้างปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นเหรียญรูปอาร์ม รมดำ (สองรุ่นที่ผ่านมาเป็นเนื้อทองแดงผิวไฟ หรือ รมน้ำตาล) ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อครึ่งองค์ แต่หันข้าง เห็นใบหูด้านขวา (สองรุ่นที่ผ่านมา ใบหน้าหลวงพ่อมองตรง) มีวงกลมเป็นรัศมีรอบใบหน้าหลวงพ่อ เขียนชื่อ โอภาสี ไว้ใต้รูป ด้านหลัง เป็นรูปศาลา มีครุฑสยายปีก ยกฉัตร ๕ ชั้น พร้อมกับมีเลข พ.ศ.ที่สร้าง คือ ๒๔๙๗ อยู่ใต้ศาลา รุ่นนี้ด้านหลังมีสองพิมพ์ พิมพ์ที่ได้รับความนิยมคือ พิมพ์ที่มีราวลูกกรงตรงบันไดทั้งสองด้าน
รุ่นที่สี่ ถือเป็นรุ่นสุดท้ายของท่าน สร้างในราวต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๘ คณะศิษย์ได้ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลเป็นเหรียญ หลวงพ่ออนุญาตแต่ได้สั่งว่า
เหรียญนี้จะไม่มีรูปโอภาสี เพราะในโลกนี้จะไม่มีโอภาสีอีกต่อไป ครุฑ คือ อำนาจ เสมากับอุณาโลก และ รัศมี คือ ตัวโอภาสี จำไว้นะ ต่อไปนี้ จะไม่มีโอภาสีอีกต่อไป
ดังนั้นเหรียญรุ่นนี้จึงออกแบบเป็นเหรียญรูปไข่ ด้านหน้า เป็นรูปครุฑ บินในท่าชันเข่า หันหน้าไปทางขวา เห็นใบหูซ้าย สยายปีกทั้งสอง รองรับเสมา หรือ แบกเสมา ที่มีรัศมีโดยรอบ ตรงกลางเสมา เป็นรูปเครื่องหมายกาชาด หรือ เครื่องหมายบวก มีตัว อ.อ่าง อยู่ตรงกลาง ด้านล่างเครื่องหมายบวก เป็นตัวอุณาโลม มีรัศมีครอบคลุม
ด้านหลังเป็นตัวเฑาะว์มหาพรหม รายล้อมด้วยรัศมี มีเลขปี พ.ศ.ที่สร้าง คือ ๒๔๙๘
ดร.สุวิทย์ คุณกิตติ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ได้เล่าอภินิหารของหลวงพ่อโอภาสี ที่คุ้มครองชีวิตภรรยา และสมาชิกในครอบครัวของท่านไว้ว่า
ภรรยา (แหม่ม ลาวัณย์ คุณกิตติ) พาลูกๆ ไปต่างจังหวัด จังหวะที่เดินทางไปถึง จ.ลพบุรี เกิดอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงขึ้น เมื่อโชเฟอร์เกิดหลับใน ทำให้รถยนต์ต้องหักหลบรถที่สวนขึ้นมา จากตรงนี้ทำให้รถเกิดเสียหลัก พุ่งลงข้างทางอย่างแรง ทันใดนั้นภรรยาก็ตะโกนเรียกชื่อ หลวงพ่อโอภาสี” และในจังหวะนั้นเองก็เหมือนมีถุงดำขนาดใหญ่มาครอบคนทั้งหมด ปรากฏว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกลับไม่มีใครเป็นอะไรเลยแม้แต่คนเดียว
"ความรู้สึกของผมจริงๆ แม้ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นผมไม่ได้ไปด้วย แต่ผมก็คิดว่า สิ่งที่ครอบครัวผมให้ความเคารพบูชา โดยเฉพาะหลวงพ่อโอภาสี เพื่อใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมทั้งพระเครื่ององค์อื่น ๆ ผมก็คิดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนสิ่งสำคัญทางใจ ที่คนไทยเคารพนับถือกันแล้ว สิ่งที่ครอบครัวผมรอดตายมาได้ ก็เป็นภาวะปกติ ที่หลายคนได้เจอได้พบ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นความเชื่อของคนบางคน หรือ บางกลุ่ม เป็นความเชื่อความศรัทธาที่ไม่ใช่เป็นเรื่องงมงาย"
นอกจากครอบครัวมีความศรัทธาต่อหลวงพ่อโอภาสีแล้ว ทุกคนในบ้านจะต้องท่องคาถาหลวงพ่อโอภาสีเป็นประจำตลอดมา เพราะย่าสอนให้ท่องมาตั้งแต่เป็นเด็ก คาถาที่ว่านี้คือ
"อิติ สุคะโต อะระหัง พุทโธ นะโม พุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง"
ด้วยเหตุนี้ทำให้ทุกคนในบ้านสามารถท่องคาถานี้ได้ทั้งหมด และก่อนเดินทางออกจากบ้านไปไหน ๆ ก็จะต้องท่องคาถานี้ทุกครั้ง
แม้หลวงพ่อโอภาสีจะมรณภาพไปนานกว่า ๕๐ ปีแล้ว แต่ศิษย์ไม่เคยลืมเลือน มีการจัดงานสรงน้ำรูปหล่อ และแห่รูปหล่อหลวงพ่อเป็นประจำ และต่างก็พูดเสียงเดียวกันว่า
หลวงพ่อโอภาสีไม่เคยจากไปไหนเลย แต่อยู่กับพวกเราตลอดกาลนาน ท่านจะคอยดูแลพวกเราเสมอ ตราบที่พวกเรายังมีความเคารพท่านอยู่ทุกลมหายใจ
พระมหาชวน มะลิพันธ์ ได้กลายเป็นโอภาสี และโอภาสี ได้กลายเป็นพุทธบุตร ที่เปี่ยมด้วยพลังเทพต่างมิติ ทุกวันนี้ ปัญหาที่ขบไม่แตกก็คือ
ท่านหลวงพ่อโอภาสีเป็นใคร นักบุญผู้มาจากต่างกาลเวลา หรือ พระพุทธบุตรผู้มีมหาอภิญญาจิต
ท่านผู้อ่านคิดว่า หลวงพ่อโอภาสี เป็นใครกันแน่
Thailand Web Stat