กลุ่มเช่าประมูล


กลุ่มประมูลซื้อขายพระ เครื่องราง
(facebook)

วิธีดูเขี้ยวสัตว์
แยกแยะเขี้ยว

กลุ่มหนึ่งตู้ม้า

LINE ID: 
spyamulet

FACEBOOK
หนึ่ง ตู้ม้า

สำหรับผู้สนใจ

ของศักดิ์สิทธิ์มีพลังมากขึ้นนั้น ต้องอาศัย"หัวใจของผู้บูชา"ด้วยเช่นกัน

***เคล็ดความศักดิ์สิทธิ์***
จะให้ของศักดิ์สิทธิ์มีพลังมากขึ้นนั้น ต้องอาศัย"หัวใจของผู้บูชา"ด้วยเช่นกัน
ยิ่งศรัทธามากเท่าไหร่ ยิ่งขลังมาก!!! 
ยิ่งมากคนบูชา ยิ่งมากความศักดิ์สิทธิ์

พระอาจารย์เพ็ง พุทฺธธมฺโม วัดป่าสามัคคีธรรม อำเภอเมือง ร้อยเอ็ด


 พระอาจารย์เพ็ง พุทฺธธมฺโม
วัดป่าสามัคคีธรรม อำเภอเมือง ร้อยเอ็ด
จาก หนังสือที่ระลึกงานฉลองเจดีย์พิพิธภัณฑ์สองหลวงปู่
วัดป่าสามัคคีธรรม อำเภอเมือง ร้อยเอ็ด
รศ.ดร.ปฐม - ภัทรา นิคมานนท์ เรียบเรียง

พระดีประจำใจ
พระครูสิริหรรสาภิบาล หรือที่พวกเราเรียกขานกันอย่างสนิทสนม เหมือนญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดว่า หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม นั้น ถือเป็น “พระดีประจำใจ” องค์หนึ่งที่ครอบครัว “นิคมานนท์” ให้ความรักความศรัทธา เป็นอย่างมาก สมาชิกในครอบครัวทุกคนจะรู้สึกสดชื่นกระฉับกระเฉง ขยันปฏิบัติภาวนา เมื่อหลวงปู่ได้เมตตาแวะเวียนมาโปรดพวกเราถึงบ้าน ซึ่งท่านเมตตามาพำนักเป็นประจำ เสมือนมาเติมไฟใน “หม้อแบตเตอรี่บุญ” ของพวกเราให้เต็มอยู่ตลอดเวลา
โดยส่วนตัวของผู้เขียน (รศ.ดร.ปฐม นิคมานนท์) นั้นได้มอบความรัก-เคารพ-ศรัทธา ต่อหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโมอย่างสุดชีวิตจิตใจ ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยในข้อวัตรปฏิบัติของท่าน อิ่มเอิบเมื่อได้อยู่ใกล้ชิด เป็นพระดีที่กราบไหว้ได้สนิทใจ และกับไม่รู้จักอิ่มจักพอ
โดยบุคลิกภายนอก หลวงปู่เพ็ง ของเรา ไม่ได้มีสง่าราศีที่บ่งบอกถึงพระที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เลย ตรงกันข้าม ท่านมีลักษณะเป็นพระบ้านนอก ร่างเล็ก ผอมเกร็ง พูดไทยก็ไม่ค่อยชัดและส่อสำเนียงอิสาน ดูไม่น่าเลื่อมใสศรัทธาเอาเสียเลย บางท่านอาจนึกสงสัยว่าคนระดับดอกเตอร์ มายอมเป็นคนขับรถให้หลวงตาแก่ๆ เชยๆ องค์นี้ได้อย่างไร
ครอบครัวของผู้เขียนเริ่มรู้จักหลวงปู่ ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๓ รู้สึกศรัทธาที่ท่านเป็นพระที่ตรงไปตรงมา มีเมตตาสูง มีอารมณ์ดี จึงนิมนต์ท่านมาโปรดที่บ้าน พร้อมทั้งถวายห้องพักในส่วนที่ต่อเติมออกไปต่างหากจากตัวบ้านเดิม ให้เป็นที่พักประจำของท่าน เมื่อท่านมีกิจนิมนต์ในกรุงเทพฯ
หลวงปู่ท่านพูดเสมอว่า “ที่นี่เป็นกุฏิของอาตมา” ขณะเดียวกันก็มีครูบาอาจารย์สายกรรมฐานองค์อื่น ๑๐ กว่าองค์จากภาคต่างๆ ทั่วประเทศได้แวะเวียนเมตตามาโปรดและพำนักในห้องที่เราจัดถวายนี้ ทำให้พวกเราและเพื่อนบ้าน มีโอกาสปฏิบัติภาวนาในบ้าน โดยไม่ต้องเดินทางไปไกลๆ แต่มีพระดีมาโปรดถึงบ้านอย่างสม่ำเสมอ ความรู้สึกที่ว่า “อิ่มบุญ” เป็นอย่างไร จึงได้ประจักษ์แก่ครอบครัวของเราตลอดมา
หลวงปู่ ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระศาสดา การพูดการสอนตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ไม่มุ่งเอาประโยชน์ ไม่เน้นพิธีรีตอง ถูกก็บอกว่าถูก ผิดก็บอกว่าผิด ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์และความอัศจรรย์อยู่ในตัวมาก แต่ไม่เคยบอกไม่เคยแสดง นอกจากเราจะสัมผัสรู้ได้ด้วยตนเอง แล้วถามท่านว่าเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ท่านก็จะตอบสั้นๆ ว่า ใช่ หรือ แล้วจะรู้เองหรือ อย่าไปสนใจมัน
ผู้เขียนเคยทดลอง คล้ายกับจงใจแกล้งท่านหลายอย่าง เพื่อตรวจสอบความมั่นคงทางจิต และความปฏิบัติตรงตามพระธรรมวินัย แต่ท่านก็ไม่ยอมเขว ไม่ยอมหลง บางครั้งแกล้งอ้างพระองค์โน้นองค์นี้ว่าท่านขลัง ท่านศักดิ์สิทธิ์ อย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องไม่ถูกตามแนวทางพระพุทธศาสนา ท่านก็ดุเสียงดังว่า “พระพวกนั้นมันจังไร จึงสอนแต่เรื่องจังไร คนที่ไม่รู้ก็พลอยหลงไปด้วย” เป็นต้น
ประมาณปี พ ศ๒๕๓๕ หลวงปู่ท่านอาพาธเพราะท้องเสีย ลูกศิษย์นำท่านเข้าศึกษาที่โรงพยาบาลอนันต์พัฒนา เป็นโรงพยาบาลเอกชนอยู่แถวๆ สะพานกรุงธนบุรี มีนางพยาบาลมาบอกว่า
“หนูขออนุญาตฉีดยาให้หลวงพ่อ”
ท่านตอบว่า “อาตมาอนุญาตไม่ได้ ให้ไปหาผู้ชายมาทำแทน”
พยาบาลชี้แจงว่า “ถ้าพระป่วย พระวินัยอนุญาตให้ผู้หญิงถูกตัวได้ไม่ใช่หรือคะ ?”
หลวงปู่ตอบว่า “พระวินัยอนุญาต แต่อาตมาไม่ไว้ใจอาตมาเอง ไปตามผู้ชายมา...”
หลวงปู่เพ็ง ท่านเป็นพระที่เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นต่อการพัฒนาจิต มุ่งตรงต่อพระนิพพาน อย่างไม่ไขว้เขว ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง มีความแกร่งมาก ท่านเล่าเรื่องราวที่ท่านพบเห็นต่างๆ มากมาย พวกเรามุ่งไปที่การนั่งหลับตาภาวนา จึงไม่ได้จัดการบันทึกเรื่องราวต่างๆ นั้นไว้ ต่างก็คิดว่า “ค่อยหาโอกาสสัมภาษณ์ท่านสักวันหนึ่ง” ผัดผ่อนเรื่อยมาจนกระทั่งหลวงปู่ ท่านจากพวกเราไปอย่างไม่มีใครคาดฝัน เพราะท่านไม่เคยแสดงอาการเจ็บป่วยเลย แม้วัยจะย่าง ๘๘ ปีแล้วก็ตาม
หลวงปู่ท่านจากพวกเราไปชนิดไม่มีการบอกลาอะไรเลย วันที่ไปขอรับศพท่านออกจากโรงพยาบาล ดูผิวพรรณท่านผุดผ่อง ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยคล้ายกับจะบอกพวกเราว่า “สมน้ำหน้าพวกสู มัวแต่ผัดผ่อนอยู่นั่นแหละ ไม่เอาจริงสักที”
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ
โบราณกล่าวไว้ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น คำกล่าวนี้สามารถยกกรณีของ หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม มาเทียบเคียงได้เป็นอย่างดี
ผู้ที่สนใจใฝ่ธรรม ต่างก็ทราบถึงกิตติศัพท์ของ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ พระอริยเจ้า แห่งสำนักวัดป่าบ้านหนองแซง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี เป็นอย่างดี ท่านเป็นพระกรรมฐานรุ่นอาวุโสในสายของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ได้ละเพศฆราวาส บวชเป็นพระภิกษุเมื่ออายุล่วง ๕๐ ปีไปแล้ว แต่ด้วยความมุ่งมั่น ปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อมุ่งตรงต่อพระนิพพานอย่างแท้จริง ท่านจึงได้บรรลุถึงแดนเกษมสูงสุดในพระพุทธศาสนาตามที่ตั้งใจไว้
ประจักษ์พยานที่สามารถอ้างอิงอย่างเชื่อมั่นได้นอกเหนือจากคำสอน ปฏิปทา และจริยาวัตรที่งดงามเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั่วไปแล้ว อัฐิของท่านได้แปรเปลี่ยนเป็นพระธาตุที่งดงาม ภายหลังการเผาสรีระของท่านเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์ที่วัดป่าบ้านหนองแซง ให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธา ได้กราบไหว้เป็นที่พึ่งที่ระลึกถึงคุณธรรมของท่าน
หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ท่านเป็นทั้งสายใยในทางโลก คือเป็นบุตรชายสืบสายโลหิต และเป็นทายาทในทางธรรม สืบต่อปณิธานทางพระพุทธศาสนา ดำเนินรอยตามหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ด้วยใจที่มุ่งมั่นเช่นเดียวกัน
ประวัติและเรื่องราวของพระอริยเจ้า พ่อ-ลูก ทั้งสององค์ คือหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ พระผู้พ่อ กับ หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม พระลูกชาย มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยง และอุปถัมภ์เกื้อกูลกันอย่างใกล้ชิด จึงได้นำเสนอเรื่องราวของทั้งสององค์ไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน จะได้ช่วยให้เราได้รู้จักหลวงปู่ทั้งสององค์ได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
การสืบมรดกธรรมในตระกูลของท่าน ถ้าเปรียบ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ พระผู้พ่อ เป็นคลื่นลูกที่หนึ่ง หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโมพระลูกชายคนโต เสมือนคลื่นลูกที่สอง และยังมี หลวงปู่พรหม สุพฺรหมฺญาโณ พระลูกชายคนรอง อายุห่างจากหลวงปู่เพ็ง ๓ ปี ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดเทิงเสาหิน อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ก็เป็นเสมือนคลื่นลูกที่สาม หนุนเนื่องนำกระแสธรรมมาสู่ประชาชนผู้สนใจใฝ่ธรรมอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน
ชาติกำเนิด
พระครูสมุห์พรหม สุพฺรหมฺญาโณ
เจ้าอาวาสวัดเทิงเสาหิน อ.เทิง จ.เชียงราย
พระครูสิริหรรสาภิบาล หรือ หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ในสมัยเป็นฆราวาส ชื่อ เพ็ง น้อยก้อม เกิดเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๗ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันพฤหัสบดี
บิดาชื่อ บัว มารดาชื่อ มื้ม นามสกุล น้อยก้อม มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๖ คน เป็นชาย ๒ และหญิง ๔ หลวงปู่เป็นบุตรคนที่ ๓ เรียงตามลำดับอายุดังนี้
๑. พี่สาวคนแรก เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก
๒. นางพุด น้อยก้อม (เสียชีวิต)
๓. นายเพ็ง น้อยก้อม (หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ อายุ ๘๗ ปี ๖ เดือน ๗ วัน)
๔. นายพรหม น้อยก้อม (หลวงปู่พรหม สุพฺรหมฺญาโณ อายุ ๘๔ ปี เจ้าอาวาสวัดเทิงเสาหิน อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ต่อจากหลวงปู่เพ็ง )
๕. นางสมบูรณ์ น้อยก้อม (เสียชีวิต)
๖. นางเล็ก ฤทธิแสง อยู่ที่อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
เมื่อหลวงปู่เพ็ง อายุได้ ๖ ขวบ ครอบครัวท่านได้อพยพไปทำมาหากินที่บ้านจานทุ่ง ตำบลปาฝา อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด หลวงปู่จึงใช้ชีวิตในวัยเด็กอยู่ที่นี่ ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด
คุณยายเล็ก ฤทธิแสง
น้องสาวคนสุดท้องของหลวงปู่
การศึกษาทางโลก
เนื่องจากบิดา-มารดาของหลวงปู่เพ็ง ท่านอ่านเขียนหนังสือไม่ได้เลย เพราะไม่เคยเข้าเรียน เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียน จึงมีความปรารถนาจะให้ลูกๆ ได้เรียนหนังสือ เพื่อจะได้อ่านออกเขียนได้ จะได้เป็นคนฉลาด เอาตัวรอด และสร้างฐานะของตนได้ในอนาคต
พอหลวงปู่ อายุได้ ๑๐ ขวบ บิดาได้นำไปฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมศึกษาประจำหมู่บ้านขุยค้อ (คุยค้อ) ซึ่งอยู่ในตำบลเดียวกัน
การเดินทางไปโรงเรียนของ หลวงปู่ เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะโรงเรียนอยู่ห่างจากบ้านออกไปเป็นระยะทางประมาณ ๘๐ เส้น (ประมาณ ๓ กม.ครึ่ง) ต้องเดินด้วยเท้า ผ่านป่า ผ่านไร่นา ในบางฤดูต้องบุกน้ำ ลุยโคลนตมไป-กลับทุกวัน จนเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ การศึกษาชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น
หลังจากเรียนจบชั้น ป.๔ แล้ว บิดาอยากให้บุตรชายเรียนต่อให้สูงขึ้นไป แต่ด้วยความจำเป็นด้านแรงงานในครอบครัว หลวงปู่ จึงได้ยุติการศึกษาในโรงเรียนเพียงเท่านั้น
หลวงปู่เพ็งในฐานะบุตรชายคนโตต้องออกมาช่วยบิดาทำไร่นา นับเป็นแรงงานสำคัญของครอบครัว ช่วยแบ่งเบาภาระของบิดา-มารดาได้เป็นอันมาก
อันที่จริงแล้ว ฐานะทางครอบครัวของหลวงปู่ จัดว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีครอบครัวหนึ่ง มีที่ดินทำกินกว้างขวาง มีฝูงวัว ควายใช้งานอย่างไม่ขาดแคลน
ในสมัยนั้น ทางภาคอิสานเรา ถ้าครอบครัวใดมีวัว ควายถึง ๑๐ ตัวขึ้นไป เพื่อนบ้านจะเรียกว่าเป็นนายฮ้อย หมายถึงคนมีฐานะดี เทียบขั้นเศรษฐีในตำบลเลยทีเดียว
แต่ว่าครอบครัวชาวไร่ ชาวนา ในชนบท ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวย ก็จะต้องทำงานตรากตรำอยู่ในไร่นาเช่นเดียวกัน บางทีครอบครัวร่ำรวยยังต้องทำงานหนักกว่าครอบครัวที่ยากจนเสียอีก
หรือถ้าจะกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผลก็ต้องบอกว่า เพราะความขยันหมั่นเพียรจึงทำให้มีฐานะร่ำรวย นั่นเอง
บิดาขอให้บวชเณร
หลวงปู่เพ็ง ออกจากโรงเรียนเมื่ออายุย่าง ๑๕ ปี เริ่มเป็นหนุ่มวัยแตกพาน ช่วยงานในไร่นาอย่างแข็งขันติดต่อกันอยู่ ๓ ปี
ในขณะนั้นท่านมี “สาวงามประจำใจ” อยู่แล้ว ความรักของหนุ่มสาวคู่นี้เป็นที่รับรู้กันในหมู่บ้าน และหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเข้าพิธีแต่งงานตามประเพณีอย่างแน่นอน ไม่มีทางหนีพ้น ต่างคนต่างเข้าใจกันดี
ความสัมพันธ์ระหว่างลูกชาย กับหญิงสาว อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย
บิดา-มารดา ของท่านได้ปรึกษากันว่า “ลูกชายของเราโตเป็นหนุ่มและมีสาวเป็นที่หมายแล้ว แต่เห็นทีจะต้องให้บวชเสียก่อน อย่างน้อยก็ให้ได้สัก ๑ พรรษาก็ยังดี ถ้ายังปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ลูกชายของเราคงไม่ได้บวชเป็นแน่”
ทางฝ่ายบุตรชาย และแม่สาวงามคนนั้น ยังไม่รู้ระแคะระคายถึงเรื่องที่บิดา-มารดาปรึกษาหารือกันเรื่องที่จะให้บุตรชายบวชเณร ความรักก็ยังดำเนินไปตามปกติ เต็มไปด้วยความหวังและความเชื่อใจกัน
เย็นวันหนึ่ง หลังจากเสร็จภารกิจประจำวัน และสมาชิกทุกคนในครอบครัวนั่งล้อมวงรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว บิดาของท่านได้บอกให้ทุกคนนั่งอยู่ก่อน ท่านมีเรื่องจะพูดคุยด้วย
บิดาได้กล่าวต่อหน้าสมาชิกทุกคนว่า
“วันนี้พ่อต้องการให้ทุกคนนั่งฟังพ่อพูด และจะได้ปรึกษากัน ถ้าแม้นว่าพ่อพูดออกไปแล้วลูกคนใดจะคัดค้านหรือมีความคิดเห็นประการใดก็พูดออกมา พ่อจะรับฟังทุกอย่างทุกคน
สำหรับเรื่องที่พ่อจะพูดวันนี้ มีความเกี่ยวข้องกับลูกเพ็ง ปีนี้ลูกเพ็งมีอายุครบ ๑๙ ปีเต็ม พ่อกับแม่ได้ปรึกษากันว่า ลูกเพ็งเป็นบุตรชายคนโตในจำนวนลูกชาย ๒ คน เท่านั้น พ่อกับแม่เห็นสมควรที่จะให้ลูกเพ็งได้บวชเรียนเสียก่อน
พ่อแม่อยากเห็นผ้าเหลืองจากลูก ถ้าลูกได้บวชเรียนแล้ว พ่อกับแม่จะภูมิใจตลอดชีวิต ถึงตายไปพ่อกับแม่ก็จะเป็นสุข ลูกเพ็งมีความคิดเห็นอย่างไรขอให้บอกพ่อ แม่ กับพี่น้องทุกคนให้ได้ยินพร้อมหน้ากัน"
ปกติหนุ่มเพ็ง มีความรักและเชื่อฟังบิดามารดาอยู่แล้ว เมื่อถูกขอร้องให้บวช ตนเองก็ไม่อยากขัดความประสงค์ของท่าน จึงกล่าวต่อหน้าสมาชิกในครอบครัวว่า
เมื่อพ่อ แม่ มีความประสงค์จะให้ลูกบวช ผมก็มีความเต็มใจพอแม่เห็นสมควรจะให้บวชวันไหน ก็กำหนดได้เลย ผมไม่ขัดข้องแต่ประการใด เพราะขณะนี้พี่และน้องๆ ก็โตพอที่จะช่วยทำงานทางบ้านแทนผมได้แล้ว เมื่อผมบวชเณรจะได้สบายใจ ไม่ต้องห่วงงานทางบ้าน จะได้ตั้งใจหมั่นศึกษาพระธรรมวินัยต่อไป
ทางบิดามารดาแสนจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังจากลูกชายเช่นนั้น เพราะสิ่งที่ท่านหวังและตั้งใจไว้เป็นผลสำเร็จ จึงได้กล่าวเป็นเชิงให้สัญญากับลูกชายว่า
“ดีแล้วลูก พ่อดีใจที่ลูกเข้าใจพ่อ สำหรับแม่ของลูกนั้นก็ดีใจเช่นกัน ที่จะได้เห็นผ้าเหลืองจากลูก เมื่อลูกบวชและสึกออกมาแล้ว ถ้าลูกประสงค์จะมีเหย้ามีเรือน พ่อกับแม่ก็ไม่ขัดข้อง ยินดีตามใจลูก พ่อแม่ให้สัญญา“
ทางฝ่ายสาวไม่ขัดข้อง
ตอนเย็นวันต่อมา หลังจากเสร็จการงานแล้ว หนุ่มเพ็งกับแม่สาวน้อยก็นัดพบกันที่ชายทุ่ง เหมือนกับทุกเย็นที่ผ่านมา
ทางฝ่ายหนุ่มได้พูดกับสาวคนรักว่า
“แม่นาง ฉันจะขอพูดอะไรด้วยสักหน่อย แม่นางคงจะไม่ตำหนิฉันนะ...คือบัดนี้อายุของฉันได้ ๑๙ ปีแล้ว พ่อแม่ต้องการให้ฉันได้บวชเรียนก่อน เพราะพ่อแม่ฉันมีลูกชายแค่สองคนเท่านั้น ฉันเป็นลูกชายคนโต พ่อกับแม่จึงอยากที่จะเห็นผ้าเหลืองของฉันก่อน เมื่อสึกออกมาแล้วพ่อกับแม่ให้สัญญาว่าจะยินยอมให้ฉันแต่งงานได้ เพียงพรรษาเดียวเท่านั้นเอง แม่นางคงจะรอฉันได้ ฉันจะต้องสึกแน่นอน”
แม่สาวน้อยสุดแสนจะปลื้มใจ จึงพูดตอบไปว่า
“เชิญเถิด เรื่องการบวชเรียนเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชายทุกคนสมควรทำ อีกอย่างหนึ่งพี่ก็จะได้สนองคุณพ่อแม่ตามประสงค์ของท่านด้วย เมื่อบวชแล้วยังได้กระทำตนทดแทนพระคุณของพระศาสนาด้วย ชีวิตจะได้รุ่งเรืองเป็นสุข เมื่อสึกออกมาแล้วยังได้นำความรู้ในพระธรรมคำสอนมาประกอบอาชีพที่สุจริต เสริมสร้างชีวิตและฐานะของครอบครัวให้อยู่ในหลักธรรมเพิ่มพูนความสุขความเจริญ น้องจึงเห็นสมควรยิ่ง”
บวชเป็นสามเณร
จากบันทึกด้วยลายมือของหลวงปู่เพ็งเอง ท่านเขียนไว้ว่า
“...เรียนอยู่ ๔ ปี จบ ป.๔ ออกมาทำนาช่วยบิดา มารดา อายุ ๑๙ ปีจึงได้เข้าวัด บรรพชาเป็นสามเณรเพ็ง ๑ พรรษา..”
หลวงปู่ ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านจานทุ่งตามความประสงค์ของบิดามารดา และตั้งใจว่าเมื่อครบพรรษา ก็จะสึกหาลาเพศ ออกมาแต่งงานกับแม่สาวคนรัก ตามที่หัวใจตนปรารถนา และด้วยความยินยอมของบิดา มารดาทั้งสองฝ่าย
หลังจากบรรพชาแล้ว ที่บ้านจานทุ่งทุกเช้า ชาวบ้านจะมายืนรอใส่บาตพระภิกษุและสามเณรเป็นประจำ ในเช้าวันนั้น มีสามเณรหนุ่มชื่อ สามเณรเพ็ง เดินในลำดับท้ายสุดของแถวด้วยอาการสำรวม ครองจีวรใหม่เอี่ยม โกนผมเกลี้ยงเกลา ยังความปลาบปลื้มแก่บิดามารดา และญาติพี่น้องชาวบ้านจานทุ่งเป็นอย่างยิ่ง
บิดา มารดาของท่านออกมายืนรอข้างทางเดินทุกเช้า สองมือประคองกระติ๊บข้าวเหนียว พร้อมทั้งกับข้าวคาว-หวานเพื่อรอใส่บาตรสามเณรผู้เป็นบุตร ช่างเป็นภาพที่งดงามและประทับใจยิ่งนัก
สามเณรเพ็ง น้อยก้อม ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัย และทางภาคปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา กับพระอาจารย์ในวัดแห่งนั้น ทำให้ได้รับความรู้ในทางพระพุทธศาสนาเบื้องต้น เห็นว่าศาสนาเป็นสิ่งที่น่ารู้น่าศึกษา และเป็นเส้นทางที่มุ่งสู่ความสุขความสงบ อย่างแท้จริง
ใกล้จะออกพรรษา ถึงเวลาใกล้จะสึกอยู่แล้ว คำสัญญาที่ให้ไว้กับน้องนางคนสวยยังก้องกังวานอยู่ในหัวใจของสามเณรเสมอ
อีกด้านหนึ่ง ความรักและความอยากที่จะได้ลิ้มรสพระธรรมก็ดูเหมือนจะมีเพิ่มขึ้น และเริ่มเชื่อมั่นว่าคำสอนของพระองค์จะต้องเป็นจริงและไม่มีผิดพลาด สมกับที่ตนได้สวดมนต์ในบทพระพุทธคุณอยู่ทุกวันว่า : -
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน     เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
สุคโต     เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
โลกวิทู     เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
คำสอนของพระองค์จะต้องไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน ดังนั้นการที่เราได้บวชเข้ามาในบวรพุทธศาสนาแล้วก็ควรเจริญรอยตามพระพุทธองค์ท่าน อย่าให้เสียทีที่ได้มีโอกาสบวชเข้ามาแล้วไม่ได้อะไรดีๆ กลับไปเลย
ถ้าเช่นนั้น เรื่องความรักจำเป็นต้องขอพักไว้ก่อน แม้จะมีใจนึกคิดและยังอาลัยอาวรณ์อยู่ ก็จะขอตัดใจบวชเรียนต่อไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน จะห่มผ้าเหลืองได้นานเท่าไรก็แล้วแต่บุญบารมีเถิด
บวชเป็นพระภิกษุ
เมื่อสามเณรเพ็ง ตัดสินใจที่จะบวชต่อ บิดา มารดา ก็สุดปลาบปลื้ม จัดการบวชพระให้ตามที่ลูกเณรต้องการ
จากบันทึกที่เป็นลายมือของหลวงปู่เอง ท่านเขียนไว้ว่า
“...พอพ้นพรรษา ถึงเดือนเมษายน บิดา มารดา ก็ได้อุปสมบทพระภิกษุ ที่วัดบ้านปาฝา อุปัชฌาย์หนู...กลับมาอยู่บ้านจานทุ่งตามเดิม พอถึงเดือนพฤษภาคม วันที่ ๑ ก็ย้ายมาเรียนหนังสือนักธรรมตรี ที่วัดบึงพระลานชัย ร้อยเอ็ด
เบื้องต้นอุปสมบทเป็นมหานิกาย พอได้มาอยู่วัดบึงพระลานชัยได้ ๑ เดือน ๑๕ วัน พอถึงกลางเดือน พระอุปัชฌายะก็ญัตติเป็นพระธรรมยุต ให้เรียนนักธรรมตรี สอบได้ในพรรษานั้น”
เป็นอันว่าพระพุทธศาสนาได้รับ พระภิกษุเพ็ง เข้าทำเนียบสงฆ์แล้ว พระอุปัชฌาย์ได้ให้ชื่อเป็นภาษามคธว่า “เมตโย”
หลังจากหลวงปู่ บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ความตั้งใจที่จะศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นไปอย่างกระตือรือร้นเอาจริงเอาจัง ประกอบกับทางบ้านของท่านไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรือทำให้วุ่นวายใจ ท่านก็ยิ่งมีความเพียรมากขึ้น
หลวงปู่ เริ่มต้นศึกษาทางด้านปริยัติ และสอบได้นักธรรมตรีในพรรษาแรกนั้น ทำให้ท่านมีความรู้เบื้องต้นในทางพระพุทธศาสนาซึ่งจะเป็นพื้นฐานของความเข้าใจเป็นอย่างดี ในการฝึกฝนในภาคปฏิบัติด้านวิปัสสนากรรมฐานต่อไป
มีใจโน้มเอียงทางด้านปฏิบัติภาวนา
หลวงปู่เพ็ง บันทึกประวัติของท่านไว้ว่า
“พอพรรษาที่ ๒ ย้ายไปอยู่บ้านเทอดไทย ตำบลเหล่า อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เป็น พ.ศ.๒๔๗๘ สอบนักธรรมชั้นโท แต่เผอิญถูกอุบัติเหตุ แม่กองธรรมสนามหลวงว่าจังหวัดร้อยเอ็ดทุจริต เลยไม่ (มีการตัดสินผล) พอปี ๒๔๗๙ ก็เรียนอยู่ที่เดิม สอบได้นักธรรมชั้นโท...”
ในช่วงนั้น หลวงปู่ ท่านเริ่มสนใจและโน้มเอียงไปทางด้านปฏิบัติภาวนา เพราะท่านได้เห็นตัวอย่างจากครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน ที่มีโอกาสเดินธุดงค์แวะมาพักที่วัดที่หลวงปู่พำนักอยู่เสมอๆ
บางครั้งหลวงปู่ ก็ได้เห็นพระธุดงค์มาปักกลดบริเวณป่าช้าข้างวัดบ้าง ในบริเวณวัดบ้าง ท่านได้มีโอกาสสนทนา ซักถามความรู้ และแนวทางปฏิบัติ จากพระธุดงค์เหล่านั้นบ้าง
เมื่อท่านอยู่องค์เดียวภายในกุฏิที่พัก หลวงปู่ได้ลองนั่งภาวนาตามวิธีที่ได้รับรู้มา เหมือนบุญกุศลส่งผล ท่านเกิดความรู้ความเห็นที่ไม่เคยได้พบไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งปฏิบัติต่อไปจิตใจก็ยิ่งสงบ และยิ่งรู้ธรรมมากขึ้นโดยลำดับ
หลวงปู่จึงตัดสินใจที่จะเลิกเรียนด้านปริยัติธรรม หันมาฝึกในภาคปฏิบัติตามแบบฉบับของพระธุดงค์ต่อไป
๑๐
ตัดใจจากแม่สาวสุดรัก
วันหนึ่ง (ปี พ..๒๔๗๙หลังจากปฏิบัติข้อวัตรที่กระทำเป็นประจำทุกวันแล้ว หลวงปู่ได้หยิบหนังสือ นวโกวาท คือคู่มือสำหรับพระบวชใหม่ขึ้นมาอ่าน พลันเกิดมาสะดุดกับบัญญัติข้อสังฆาทิเสสและรำพึงกับตัวเองว่า
เราเป็นพระเป็นเจ้าอยู่นี่ จิตใจบางขณะยังว้าวุ่นกับเรื่องผู้หญิง เรื่องมีคู่มีเรือน มันทำอย่างนั้นไม่ได้ มันอาบัติ ผิดวินัย
ยิ่งเราได้ทำสมาธิภาวนา พิจารณาดูแล้วก็เป็นจริง เพราะการบวชเข้ามาเป็นพระสงฆ์ มันต้องตัดโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แล้วเรายังมาคิดอยู่อีกไม่ได้...
พระธรรมเป็นของจริง ถ้าผู้ใดรักพระพุทธเจ้า รักความดีงาม รักพระธรรมคำสั่งสอน มีศรัทธาความเชื่อแล้ว ก็ต้องให้มันห่างไกลกิเลสตัวนี้
อย่าเช่นนั้นเลย เราต้องหาโอกาส จำต้องไปบอกนางให้เลิกสนใจเรา และให้นางอย่ารอเราเลย
หลังจากออกพรรษาในปีนั้น (พรรษาที่ ๒) หลวงปู่จึงไม่รอช้า ท่านรีบไปบ้านของแม่สาวน้อยที่ท่านเคยให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า จะสึกออกมาแต่งงานด้วย และได้พูดกับเธอว่า
“นี่แนะน้องสาว ต่อแต่นี้ไปเราจะยังไม่สึก เราจะบวชเป็นพระต่อไปอีก เราต้องการศึกษาธรรมปฏิบัติ โดยเราจะออกเดินธุดงค์เข้าป่าแสวงหาโมกขธรรม อันเป็นของจริงที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนไว้ และทางนี้สามารถที่จะพาเราไปสู่ดินแดนพ้นทุกข์ได้
และตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่สึกออกมาแล้ว แม้ว่าน้องสาวต้องการที่จะมีสามีและบุตร ก็ขอให้เป็นไปตามประสงค์เถิด อย่าพะวงในตัวเราเลย ขอให้น้องสาวจงมีความสุข และพ้นภัยเถิด”
เมื่อหลวงปู่กล่าวจบตามที่ตั้งใจแล้ว ท่านก็รีบหันหลังกลับเข้าวัดทันที โดยไม่รอดูว่าแม่สาวจะว่าอย่างไร
ทางด้านแม่สาวน้อยก็ยังรอความหวังอยู่ถึง ๕ ปี จนกระทั่งแน่ใจว่า “หลวงพี่” ไม่ยอมสึกแล้ว เธอจึงยอมแต่งงานกับชายหนุ่มคนอื่นไป
สาธุ ! ทั้งท่านและเธอทำถูกแล้ว ไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีหลวงปู่ที่เป็นพระดีองค์นี้ให้กราบไหว้แ
น่

๑๑
ต้องการโปรดโยมบิดาให้ละไสยศาสตร์
หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโมสมัยที่ยังอยู่เชียงรายได้เล่าประวัติของท่านในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับบิดาของท่านในสมัยที่ยังเป็นฆราวาสซึ่งได้รับการถ่ายทอดในนิตยสารโลกทิพย์ ดังต่อไปนี้
“บิดาของอาตมานี่ แต่เดิมท่านมีความรู้ทางด้านไสยศาสตร์มาก่อน เรื่องนี้บิดาศึกษามาตั้งแต่ยังหนุ่มๆ เลย ท่านเก่งมากเรื่องคุณไสยนี่นะ สมัยนั้นเขานิยมกันมากเรื่องนี้ บิดาก็เก่งมากในตำบลทีเดียว แต่มันก็อาศัยจิตใจที่เข้มแข็งของท่านนั่นแหละ
ทีนี้อาตมาต้องการให้ท่านได้ศึกษาทางธรรมบ้างเพื่อว่าท่านจะได้เลิกละเรื่องผีสางได้ อีกอย่างหนึ่งชาวบ้านแถบถิ่นอีสานโดยทั่วไปเขานับถือผีปีศาจอะไรพวกนี้นะ งมงายในเรื่องนี้มากทีเดียวละ
ตอนได้พรรษาที่ ๒ นี่ อาตมาก็ไม่เก่งในการสอนอะไรมากนัก เพราะเพียงรู้ทางด้านปริยัติบ้างเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนการปฏิบัติภาวนานั้นยังอ่อนมาก ด้วยความเพียรมุมานะภาวนามากเข้าๆ เป็นเหตุให้รู้ว่าการศึกษาจากตำราก็เป็นเพียงการเรียนรู้เนื้อหาธรรมะเท่านั้น ยังมิใช่เป็นการเรียนรู้เพื่อละเพื่อวาง
หมายความว่ารู้เพียงจำนวนจำกัด คือรู้หน้านั้น รู้หน้านี้ หมวดนั้น หมวดนี้ ใบนั้นใบนี้ แล้วต้องมาท่องจดจำให้ได้ อย่างนี้ภาษาธรรมเป็นเพียง สุตะ และ จินตมยปัญญา ยังไม่ได้เป็นภาวนามยปัญญา ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดจากใจ ถ้ามีปัญญาอย่างตัวหลังนี้แล้วก็สามารถรู้ได้อย่างสารพัดทีเดียว พระพุทธเจ้าของเราจึงสามารถเป็นผู้รู้โลกได้แจ่มแจ้ง
อาตมายิ่งภาวนาก็ยิ่งมีกำลังใจ แรกๆ นี่นะมันตื่นเต้นเรื่องเดินธุดงค์ อาตมาไปทุกแห่งในละแวกเขตอำเภอต่างๆ ในจังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดขอนแก่น ไม่ว่าในป่าช้า ป่ารกใดๆ อาตมาไม่ย่อท้อ ไม่เกรงอันตรายที่จะเกิดขึ้น เพราะได้แน่ใจแล้วว่า พระธรรมคำสอนเป็นความจริง และธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
ศีล ที่เรารักษาอยู่ ก็ช่วยเราได้จริง
สมาธิภาวนา ก็มีจริง เพราะสามารถทำจิตใจของตนเองให้เกิดสมาธิได้ สงบได้
ปัญญา ก็มีจริง เพราะเราได้ทำสมาธิภาวนาเสมอๆ ความรู้ความนึกคิด มันเกิดขึ้นเอง โดยที่ตนเองไม่เคยคิดมาก่อน
เมื่อได้ปัญญาความรู้ที่เห็นนี่ เวลาอาตมาสอบนักธรรมโทก็ไม่เป็นของยาก เพราะมันรู้มาก่อนแล้ว อาตมาพยายามมากจริงๆ เพราะเริ่มเข้าใจ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้ว
อาตมามีความคิดว่า มันรู้ชัดตามความเป็นจริง จนเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาแล้ว อาตมาจึงย้อนกลับวัด มุ่งหวังจะมาเทศนาโปรดบิดาให้ออกเสียจากคุณไสย และพวกผีปีศาจให้ได้”
๑๒
เทศน์ชักจูงโน้มน้าวใจโยมบิดาทั้งคืน
พอตกเย็น หลวงปู่เพ็ง (อายุพรรษา ๒) ได้ไปที่บ้านโยมบิดาเป็นครั้งแรก เพราะตั้งแต่บวชแล้วไม่เคยเข้าบ้านเลย โยมบิดามารดาต่างตื่นเต้นดีใจที่เห็นพระลูกชายมาโปรดถึงบ้าน
บรรดาเพื่อนบ้านที่รู้จักมักคุ้นต่างทยอยกันมาพูดคุย ถามถึงทุกข์สุขต่างๆ จนได้เวลาอันสมควรก็ทยอยกันลากลับ
เมื่อแขกเหรื่อกลับไปหมดแล้ว ยังเหลือเฉพาะพระลูกชายและโยมบิดา อยู่กันสองต่อสอง ทางพระจึงเปิดฉากเทศน์ชักจูงบิดาตามที่ตั้งใจมา ว่า
“วันนี้ อาตมามีความประสงค์ขอร้องโยมพ่อสักเรื่องหนึ่ง อาตมาหวังว่าโยมพ่อคงให้ได้ สำหรับตัวอาตมาเองได้รับฟัง และทำตามโยมพ่อมาตลอด อาตมาทำตนตรงตามความประสงค์ของโยมพ่อแล้ว คือ ต้องการให้บวชเรียน อาตมาก็บวชเรียนแล้ว เรื่องนี้โยมพ่อเข้าใจดี ตั้งแต่บวชเรียนมา อาตมาได้หันมาประพฤติปฏิบัติภาวนา จนมีความรู้ความเห็นเป็นความจริงทุกประการ
อาตมาอยากให้โยมพ่อกระทำตนอยู่ในพระรัตนตรัย โดยถือหลักพระไตรสรณาคมน์ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ขอให้โยมบิดาจงเลิกนับถือเรื่องผีปีศาจ และจงละความเชื่อถือคุณไสยนั่นเถิด ภูตผีปีศาจไม่ได้ให้คุณประโยชน์อะไรแก่เราเลย ของพวกนี้มันไม่จ่ริงหรอก มันไม่สามารถทำให้พวกเราพ้นทุกข์ได้ นอกจากจะขาดจากพระไตรสรณาคมน์แล้ว ยังเป็นโทษแก่เราอีกด้วย
โยมพ่อเชื่อถือเรื่องพวกนี้ เป็นเหตุให้ต้องกักขังวิญญาณต่างๆ ไว้ เขาได้รับความทุกข์ เขาจะไปเกิดก็ไม่ได้ เขาจะไปไหนก็ไม่ได้ เพราะเราไปบังคับข่มขู่เขาไว้ มันไม่ดีเลยนะโยมพ่อ
ถ้าหากวันใดจิตใจเราไม่เข้มแข็ง หรือวิบากกรรมติดตามเรามาถึง พวกนี้จะย้อนกลับมาทำลายเรา โยมพ่อคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า หมองูตายเพราะงู”
๑๓
น้อมกายใจเข้าหาพระรัตนตรัย
พระลูกชาย เทศน์โน้มน้าวใจโยมบิดาให้หันเข้าหาพระรัตนตรัยดังนี้
“สิ่งที่จริงแท้ คือ คำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงเมตตาสั่งสอนอบรมเวไนยสัตว์ให้กระทำความดี ถ้าผู้ใดมีทาน ศีล ภาวนา แล้วชีวิตจะไม่เป็นหมัน คือไม่สูญเปล่า ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ จะพบกับความสุขสงบในชีวิต
มนุษย์เราในโลกนี้ โยมพ่อโปรดตรองดูเถิดว่า ทำไมจึงต้องรับทุกขเวทนากันนัก ต้องตรากตรำการงานอย่างหนัก แม้ไม่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ก็ต้องได้มาด้วยความทุกข์ของผู้อื่น
คนเราแม้จะดิ้นรนอย่างไรก็ตาม ก็ยังเกิด ยังแก่ ยังเจ็บ ยังตาย ไม่สุดสิ้น ตายสลับซับซ้อน ถมทับลงดิน คนแล้วคนเล่า
เมื่อเกิดมาแล้ว มองหาความสุขของแต่ละคนไม่ได้เลย ต่างดิ้นรนเพื่ออยู่รอดตลอดกาล บางคนเกิดมาแล้วเป็นคนทุกข์ ยากจน บางบ้านจะหาของมากินก็แสนจะลำเค็ญ เลี้ยงปากท้องตนเองแทบไม่มีอยู่แล้ว ลูกที่เกิดมายังต้องได้รับทุกข์ไปด้วย ถึงกระนั้นคนก็ยังอยากเกิด
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอะไร เพราะไม่เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่น้อมจิตใจให้เข้ามาอยู่ในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นเอง ถ้าเข้ามาจริงแล้ว มีพระรัตนตรัยในจิตใจแล้ว จะไม่เป็นเช่นนี้ บางคนฆ่ากันติดต่อกันไปจนถึงลูกหลานของตนเอง บางทีฆ่ากันแต่ละครั้ง ๓-๔ ศพ ก่อเวรก่อกรรมไม่สิ้นสุด นี่เพราะอะไร เพราะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าสอน
โยมพ่อเองก็มีความรู้เรื่องพระศาสนาดี ถ้าไม่รู้ก็คงไม่ให้อาตมาบวช ความผิดความถูกโยมบิดาก็รู้ ลัทธิพราหมณ์ขอให้โยมบิดาเลิกเสียเถิด จงน้อมกายใจเข้าหา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกถึง จะดีกว่า เรื่องลัทธิพราหมณ์ พระพุทธเจ้าของเราเคยศึกษามาแล้ว
พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า ไม่เป็นทางออกของจิตใจ มันจะพากันหมักหมมในดวงจิตดวงใจ มันเป็นทางโลกียะทั้งนั้น ไม่เป็นทางโลกุตระ"
หมายเหตุ :ในแถบที่หลวงปู่อยู่ มีลัทธิพราหมณ์ ลัทธิฮินดู แพร่หลายอยู่ ตัวอย่างเช่น หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ก็มาจากครอบครัวพราหมณ์ ถือศาสนาฮินดูอย่างเคร่งครัดมาก่อน ด้วยท่านเป็นครูผู้นำประกอบพิธีการในลัทธิศาสนาฮินดู ต่อมาภายหลังท่านเดินทางไปที่วัดป่าศรีไพรวัน อ เมืองร้อยเอ็ด เข้าถวายตัว บวชเณรอยู่กับเจ้าอาวาส คือ พระอาจารย์เพ็ง เมตโย ในขณะนั้นซึ่งก็คือหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ในภายหลัง เมื่อท่านบวชครั้งที่ ๒
ข้อมูลจากหนังสือ ๘๐ พระกรรมฐานของนิตยสารโลกทิพย์
๑๔
เราคนไทย มีพระพุทธศาสนาประจำชาติ
พระลูกชาย เทศน์โปรดโยมบิดาต่อไปว่า : -
“เราเป็นคนไทย มีพระพุทธศาสนาประจำชาติ อีกทั้งยังมีครูบาอาจารย์ที่สามารถอบรมสั่งสอนเอาให้ได้รับความรู้ก็มีมาก สู้เราไปศึกษากับท่าน แล้วนำพระธรรมมาประพฤติปฏิบัติเสีย จะไม่ดีกว่าหรือ
อย่างอาตมา แต่ก่อนไม่เคยมีความรู้อะไรเลย ไม่มีวิชาอะไรเลย แต่เวลาออกป่า เดินธุดงค์ไปอยู่ตามป่าเขาราวไพร อาตมาก็เดินไปโดดเดี่ยว ไม่มีอะไรป้องกันตัว อาตมาไม่กลัวภูตผีปีศาจอะไร แม้กระทั่งสัตว์ ด้วยเหตุนี้อาตมาไปเพื่อศึกษาโมกขธรรม ออกเที่ยววิเวก
พระพุทธเจ้าของเรานี่ พระองค์ทรงเป็นถึงพระมหากษัตริย์พระองค์จะหาธรรมยังต้องหลบหนีเข้าอยู่ป่า แม้จะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน พระองค์ก็ดับขันธ์ในป่า
อนึ่ง อาตมามีแต่ความดี มีศีลรักษาตัวเท่านั้น สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็ไม่คิดเบียดเบียนเขา เราไม่ไปทำร้ายเขา แล้วอยู่เป็นสุข ตายก็เป็นสุข ด้วยกันทั้งสิ้น
อาตมาเคยเห็นชาวบ้านที่เข้าป่า แล้วถูกเสือถูกช้างฆ่าเอาตาย นั่นเป็นเพราะอะไรกัน ก่อนออกป่า เขาก็ได้บวงสหลวงเทวดา ทำการไล่สิ่งที่เป็นเสนียดจัญไรออกจากตัว แถมยังขอน้ำมนต์ ลงยันต์ สะเดาะเคราะห์ ไหว้ผีไหว้สางก่อนเข้าไป
เมื่อเข้าไปแล้ว อยู่ในป่าก็เที่ยวหาสัตว์ ฆ่าสัตว์ เอามาหุงหากิน นั่นแทนที่จะเอาเสนียดจัญไรออกจากตัว กลับนำเสนียดจัญไรใส่ตัวเสียอีก ในที่สุดก็ต้องตาย เข้าไปเบียดเบียนเขา แล้วอะไรจะช่วยเราได้”
๑๕
เข้าป่าเดินธุดงค์เพื่อขัดเกลากิเลส
พระลูกชาย เทศน์รุกโยมบิดาต่อไปว่า : -
“อาตมาเข้าป่าเดินธุดงค์ เพื่อขัดเกลากิเลสตัณหาออกจากใจ ไม่ได้ไปเบียดเบียนเขา สัตว์ร้ายจำพวกเสือ ช้าง งูพิษ ก็ไม่เห็นจะทำอะไร อยู่อย่างสงบ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างไป อยู่ด้วยกัน นอนด้วยกันในป่าเขา เอาธรรมชาติเป็นที่อยู่ เอาธรรมเป็นที่พึ่ง เอาบารมีเป็นที่นำทาง
นอนโคนไม้ ไม่มีหน้าต่าง ประตู ถ้าเขาจะมาทำร้าย อาตมาก็ไม่ว่า ไม่พยาบาท ไม่จองเวร ทำจิตใจสบาย ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ไม่มีความรัก แม้แต่ตัวเอง นอกจากความดีมีไว้ประจำตน
พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายสอนว่า ให้ระงับเวรด้วยการไม่จองเวร ฉันใด ความดีของเราที่ได้กระทำขึ้นไว้ในจิตใจ ก็ย่อมมีบารมีเกื้อกูลรักษา ไม่นำเราไปตกในที่ชั่วหรอก
พระพุทธเจ้าของเราพูดไว้ไม่ผิดหรอก คำสั่งสอนของพระทุกองค์เป็นหนึ่งไม่มีสอง ขอให้โยมบิดาโปรดพิจารณาเอาเองเถิด”
๑๖
อ่อนใจแต่ไม่ท้อใจ
หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังถึงความพยายามในครั้งนั้นว่า
“คืนนั้น อาตมาพูดให้โยมบิดาเข้าใจ พูดให้ท่านออกจากภูตผีปีศาจ อาตมาหวังให้ได้ แต่ท่านไม่ยอมเชื่ออาตมา ท่านว่า เรียนหนังสือเพียงเล่มเดียวไม่เชื่อ ท่านว่าอาตมาศึกษานวโกวาทมาเพียงเล่มเดียว
อาตมากับโยมบิดาทะเลาะกันอยู่อย่างนั้นทั้งคืน คือตั้งแต่หัวค่ำไปจนยันแจ้ง ท่านก็ไม่ยอม อาตมาอ่อนใจมาก แต่ในใจคิดว่าต้องพยายามให้ท่านเชื่อไม่วันใดก็วันหนึ่ง ต้องการให้ท่านปฏิบัติให้ได้
เอาเถิด วันนี้ยังไม่ยอม สักวันหนึ่งจะต้องเอาให้ได้ อาตมาไม่ลดละความพยายาม เพราะคิดจะดึงบิดา มารดาให้ออกจากการยึดถือเรื่องคุณไสยให้ได้”
๑๗
โยมบิดาพ้นวิบาก
หลวงปู่สีโห เขมโก
วัดป่าวิเวกธรรม จ.ขอนแก่น
หลวงปู่ได้เล่าเรื่องการชักจูงโยมบิดาให้เลิกเรื่องไสยศาสตร์จนสำเร็จในเวลาต่อมา ดังนี้
“ต่อมา พ้นพรรษาที่ ๓-๔ เหมือนบิดาของอาตมาจะหมดวิบากกรรม บังเอิญ พระอาจารย์สุภี แห่งวัดบ้านหนองบุ้ง จังหวัดขอนแก่น ได้เดินทางมาพักที่วัดอาตมา” (วัดป่าศรีไพรวัน จ ร้อยเอ็ด)
พระอาจารย์สุภี เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ศรี มหาวีโร ต่อมาได้ไปศึกษาปฏิบัติพระกรรมฐานกับหลวงปู่สีโห เขมโก ที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย (ภายหลังหลวงปู่สีโห ไปพำนักประจำอยู่กับหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่ป่าช้าบ้านเหล่างา ซึ่งต่อมาเป็นวัดป่าวิเวกธรรม อ.เมือง จ.ขอนแก่น)
หลวงปู่เพ็ง เล่าถึงเหตุการณ์ว่า
“พระอาจารย์สุภี เดินทางมายังหมู่บ้านที่อาตมาอยู่ และได้ไปพักที่วัดของอาตมา จึงได้รับบารมีจากท่านให้เทศนาโปรดบิดา ไม่ทราบว่าอะไรมาดลใจโยมของอาตมา ท่านเชื่อเลย จนเลื่อมใสพระฝ่ายปฏิบัติพระกรรมฐาน รวมทั้งโยมมารดาก็เชื่อถือ ยอมรับฟัง ตอนที่อาตมาไปเทศน์ให้ท่านฟัง ท่านไม่เชื่อ แถมยังเถียงแทบล้มตาย ชักแม่น้ำหมดเมืองไทยท่านก็ยังไม่ลดถอย
พอพระอาจารย์สุภีมาเทศน์ให้ฟัง ท่านยอมเชื่อทั้งบิดามารดา เมื่อท่านเชื่อแล้ว ก็มาปฏิญาณตนเข้าถือพระไตรสรณาคมน์เป็นที่พึ่ง ท่านเลยทิ้งภูตผีปีศาจคุณไสยจนหมดสิ้น ตั้งแต่บัดนั้นมา ท่านรับศีล นุ่งขาวห่มขาว”
“แหม...กว่าจะดึงท่านออกได้ มันเป็นเวลานานพอดูทีเดียว” หลวงปู่สรุปในตอนท้าย
๑๘
ตัดสินใจออกท่องธุดงค์
หลวงปู่เพ็ง มีความคิดที่จะออกท่องธุดงค์ โยมบิดาก็สนับสนุน ท่านเล่าเหตุการณ์ ดังนี้
“หลังจากนั้นมา อาตมาไม่ประสงค์จะศึกษาทางด้านปริยัติธรรมต่อไปแล้ว อยากเข้าป่าเดินธุดงค์เพียงอย่างเดียว เพราะรักที่จะเดินธุดงค์มากกว่า ได้ตัดสินใจไว้ล่วงหน้า สู้หันมาปฏิบัติไม่ได้ ขอเป็นพระกรรมฐานดีกว่า สิ่งที่เราได้รับได้เห็นมาจากจิตใจ มันชัดแจ้งยิ่งกว่าท่องในหนังสือมากมายนัก
เราอยากจะรู้อยากจะเห็น ก็นั่งภาวนาไป จิตภายในมันจะค้นคว้าสอนเราเองตลอดเวลา จนบางครั้งยังมานึกเลยว่า เอ...นี่เรารู้ได้อย่างไรกัน เราไม่ได้อ่านหรือศึกษาที่ใดมาก่อนนี่นา ทำไมมันจึงรู้อย่างดีเสียอีก นั่นแหละอาตมาเอาชีวิตจิตใจเข้าโถมเลย สู้ตาย
เมื่ออาตมาดึงบิดา มารดาเข้ามาได้แล้ว ก็วางจิตใจลงไป ออกเที่ยวธุดงค์ทันที ฝ่ายโยมบิดา โยมมารดาทราบข่าวก็มานิมนต์ให้อาตมาออกธุดงค์”
หลวงปู่ขาว อนาลโย
หลวงปู่ได้เล่าถึงความเป็นคนเอาจริงของบิดา ท่านว่า : -
ตอนแรกท่านให้อาตมาเรียนพระปริยัติธรรม แต่พอท่านมารู้เรื่องพระกรรมฐานจากพระอาจารย์สุภี ท่านเห็นว่าเป็นทางวิเศษ เป็นทางที่สามารถจะพาไปให้พ้นทุกข์จริง ท่านจึงนิมนต์ให้อาตมาออกกรรมฐาน
โยมบิดาของอาตมานี่ท่านมีความศรัทธาจริง ไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้าเกิดศรัทธาขึ้นมาละก็ ท่านเอาเป็นเอาตายทีเดียว เช่นว่าให้อาตมาบวช พอบวชแล้วก็ให้ศึกษาด้านปริยัติธรรม พอรู้เรื่องภาวนา ท่านเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า ก็มานิมนต์ให้อาตมาเข้าป่าไปเลย
นี่จิตใจท่านเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ใจนักเลง ท่านจึงทำอะไรก็ตามจะต้องสำเร็จผลไปหมด ท่านไม่ยอมถอยหลังให้อุปสรรค จนหลวงปู่ขาว อนาลโย เคยพูดกับอาตมาภาพว่า พ่อของพระเพ็งเป็นคนวิเศษ
ก่อนที่อาตมาจะเข้าป่าเดินธุดงค์ โยมบิดาได้ซื้อหาบาตรลูกใหม่ แล้วนำมาถวายอาตมา อาตมาจึงต้องออกธุดงค์เรื่อยมา
หมายเหตุ ทำไมพระสายกรรมฐานจึงใช้บาตรใบใหญ่?
เพราะท่านใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกเหนือจากการบิณฑบาตตามปกติ เช่นท่านฉันในบาตร (แบ่งเท่าที่ฉันหมด ยกเว้นครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ ท่านจะเผื่ออาหารให้ลูกศิษย์ ถือเป็นข้าวก้นบาตรด้วย) ใช้ใส่สัมภาระเวลาเดินทาง จำพวกหยูกยาไม้ขีด มีดโกน และของใช้ที่จำเป็น รวมทั้งใช้เก็บจีวร สังฆาฏิ ผ้าต่างๆ ป้องกันไม่ให้เปียกเวลาฝนตกด้วย - ผู้เขียน
๑๙
ตั้งใจปฏิบัติภาวนาในป่าเขา
หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ได้บันทึกด้วยลายมือของท่านเอง ดังนี้ : -
ปี ๒๔๗๙ พอรู้ว่าสอบ (นักธรรมชั้นโท) ได้ ก็ลาอุปัชฌาย์ ออกเดินธุดงค์จากสำนักเรียนเข้าร้อยเอ็ด เดินทางต่อถึงมหาสารคาม เป็นสำนักปฏิบัติป่าช้าจังหวัดมหาสารคาม มีพระอาจารย์นาค โฆโส ก็เข้าศึกษาปฏิบัติกรรมฐานกับท่าน
มีพระด้วยกัน ๔ รูป สามเณร ๑ รูป คือ พระมหาแก่นจันทร์ ประโยค ๖ พระอาจารย์นาค พระเพ็ง เมตโย พระพัน สามเณรสุวะ อยู่ไม่นานท่านก็พาเดินธุดงค์ไปถ้ำพระเวส จังหวัดนครพนม อำเภอนาแก...
หมายเหตุ: พระอาจารย์นาค โฆโส ได้บันทึกเรื่องราวของท่านไว้ในหนังสือชื่อ สามเณรบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ตามประวัติ พระอาจารย์นาคเป็นพระกรรมฐานที่มีใจเด็ดเดี่ยว ออกท่องธุดงค์ตามป่าเข้าอย่างมอบกายถวายชีวิต เรื่องราวของท่านเข้มข้นมาก ท่านเป็นพระตรง พูดตรง ทำจริง ท่านมีกิตติศัพท์ในการต่อสู้ฟาดฟันกับพระผู้ประพฤตินอกรีตนอกรอย ไม่ว่าพระผู้ใหญ่หรือผู้น้อยก็ตาม ท่านก็ไม่ละเว้น
หลวงปู่เพ็งได้รับการถ่ายทอดบุคลิก และนิสัยบางส่วนจากพระอาจารย์นาคได้แก่ ความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นทำจริงพูดตรง ในกรณีพระดังๆ ที่มีเรื่องราวทางสื่อมวลชน หลวงปู่จะพูดก่อนสื่อเหล่านี้ไว้นาน บอกว่าให้คอยดูบักนั่นเด้อ มันไปได้บ่นานดอก... และก็เป็นจริงทุกรายเท่าที่ผ่านมา - ผู้เขียน
๒๐
ดิฉันขอลาเพื่อไปแต่งงาน
หลวงปู่ เล่าถึงการปฏิบัติภาวนาในครั้งนั้นของท่านว่า
ในพรรษานี้ อาตมายิ่งตั้งใจมาก อาตมาเพียรภาวนาตามถ้ำผาป่ารกตลอดพรรษา ในใจของอาตมานี่มันโปร่งเบาอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์นี้นะมันเกิดขึ้นมาอย่างประหลาด
อาตมานั่งบำเพ็ญเพียร เดินจงกรม ขนาด ๓ วัน ๓ คืน นี่เฉยไปเลยไม่หิวไม่โหยอะไร ขยันปฏิบัติมาก ความเพียรไม่อ่อนแรงเลย มันยิ่งรุดหน้าไปไกล
ขณะที่พิจารณาภายในกลด อาตมาเกิดมีความรู้สึกว่าโยมบิดานี่ สมควรจะให้บวช เพราะท่านมีอายุมากแล้ว การงานใดๆ ก็สมควรปล่อยมือได้แล้ว สมบัติเงินทองนี่ทำไปเท่าไรๆ มันก็ไม่พออยู่นั่นเอง
ตัณหา ความทะยานอยาก ถ้ามันเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว ขนาดแก่จะตายก็ยังดิ้นรน การดิ้นรนนี้ ถ้าใครมีแรงมากก็ดิ้นรนไปไกล ถ้าคนมีกำลังน้อยหรือแทบไม่มีเลยนี่ซี มันน่าสมเพชเวทนา อาตมาเคยตั้งใจไว้ถ้าออกจากการเดินธุดงค์ กลับไปถึงบ้าน ต้องให้ท่าน (โยมบิดา) บวชเป็นพระให้ได้
อาตมาย้อนกลับวัดบ้านเกิด พอมาถึงวัดแล้ว โยมผู้หญิงที่เคยมีสัมพันธ์ตั้งแต่อดีต สมัยที่รู้จักกันตอนฆราวาส เขามาหาอาตมา
พอมาถึง เขาก็บอกว่า ดิฉันขอลาเพื่อไปแต่งงาน โอ้...เขาอดทนจริงนะ รออาตมา ๕ ปี อาตมาก็ให้พรให้เขาไปมีความสุข
๒๑
เห็นกิเลสตัณหา เป็นกระจกเงาส่องตนเอง
หลวงปู่ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องตัณหาราคะที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมให้เจริญก้าวหน้า ว่า
“เรื่องตัณหานี้สำคัญนะ ถ้าคิดจะปฏิบัติภาวนาแล้ว ควรละเรื่องรัก เรื่องโลภ เรื่องหลงให้ได้เด็ดขาด เราจะมาสุมไว้ทำไม ไม่มีประโยชน์อะไร ตัวนี้มันบั่นทอนกำลังสมาธิมาก เพราะมันร้อนรน มันทำให้จิตใจแส่ส่ายไปมา ภาวนาก็ไม่เกิดผล จิตใจมันไม่สงบ ถ้าอยากให้สงบต้องฝึกละฝึกวาง
ตัวตัณหาราคะนี้ มันทำให้คนเราหลงทางได้เป็นคนขาดสติ...
อาตมาไปเห็นมาที่เมืองลาว เวียงจันทน์โน่น มันน่าสงสารนะ คนเราอายุ ๕๐-๖๐ ปี แต่ไม่พิจารณาให้เห็นความเสื่อมโทรมในร่างกายของตน อาตมาว่าสู้เด็กเกิดในวันนั้นไม่ได้ ปล่อยตัวปล่อยใจเข้าคลุกกับตัณหาราคะ เข้าบาร์ไปเต้นย็อกแย็กๆ อาตมาดูแล้วเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า หนังก็เหี่ยวย่น ฟันก็หัก ตาฝ้ามัว โอ...ไปอยู่ได้อย่างไรในสถานที่อย่างนั้น
ทำไมอายุขนาดนั้นแล้ว เขาไม่ยอมพิจารณาดูตัวเองว่ามีความเกิด-ดับของสังขารเลย ไปมั่วกับพวกเด็กผู้หญิงอายุ ๑๖-๑๘ ปี เอาเด็กพวกนี้มาขี่คอไว้ เมากันนะ เหล้ายาฝิ่น กัญชา ของเลวทั้งนั้นแหละ
ของอย่างนี้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงถือเอาว่าผู้ทรงคุณธรรมนั้น ประเสริฐกว่าผู้มีอายุมากแต่ไม่มีคุณธรรม พวกนี้ไม่มองสภาพร่างกายของตน เก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมอยูทุกวัน จิตใจไม่มีสำรวมกาย วาจา ใจ ไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า เกิดมาไม่มีประโยชน์แก่ตนเองเลยแม้แต่นิด
อาตมามองเห็นสิ่งนี้เป็นกระจกเงา เลยดูตนเองบ้าง โอย..รีบข้ามโขงมาเลย อยู่ไม่ได้ เวลาจะหมดเอา นี่มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ตั้งใจว่าตายในผ้าเหลืองเลยในชาตินี้”
๒๒
ชีวิตนี้ลำบาก อยากให้บิดาบวช
หลวงปู่ได้เล่าถึงคำปรารภของท่านที่คิดอยากให้โยมบิดาของท่านบวชเป็นพระภิกษุ
อาตมาเห็นว่าภาคอีสานของเรานี่มีสิ่งชี้บอกธรรมะมาก ความหลงน้อยในสมัยนั้น เพราะมันกันดาร สมัยนั้นอีสานแล้ง ชาวอีสานเหมือนมีกรรม ชีวิตมันเกิดมาพร้อมกับความอับเฉา อีสานบ้านเรา หน้าฝนนี่ พอเกิดความชุ่มชื้นขึ้นมา ก็โน่น...น้ำท่วมไปถึงชื่อถึงแปบ้าน อาหารการกินก็ต้องลำบาก วัวควายเลี้ยงไว้หนีน้ำไม่ทันก็ล้มตายลงไป ท่วมทุกปี ต้นข้าวกำลังจะเก็บเกี่ยวได้ น้ำก็มาท่วม น้ำตาตกในกันทั่วหน้า
พอถึงหน้าแล้ง จะหาน้ำดื่มก็แสนลำบาก น้ำดื่มนี่หายากกว่าทองคำนะ ออกไปหาน้ำกันแต่ละทีเป็นกิโลๆ เลยนะ แล้วแล้งติดต่อกันได้ ๖-๗ ปี
อาตมาสงสารชาวบ้าน สงสารโยมบิดามากทีเดียว แต่ละปีอาตมาก็ไม่รู้ว่าท่านเลี้ยงลูกมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ท่านถือศีล ๘ มาตลอด หน้าแล้งท่านไปหาอะไรมาให้ลูกกิน หน้าน้ำท่วม กุ้ง ปลา ท่านก็ตกหรือหากินไม่ได้ แล้วท่านทำอย่างไร มันน่าอนาถใจ
นี่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ มนุษย์เกิดมามีกรรมเป็นเครื่องอาศัย มีกรรมเป็นมรดก ทำดีก็ได้รับผลดี ทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว เราจะได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป
อาตมาคิดว่า บัดนี้เราได้มาพบกับทางแห่งความสุข ทางแห่งพระอริยเจ้าทุกๆ องค์ปรารถนา ไม่มีทางใดจะประเสริฐกว่าทางนี้อีกแล้ว สมควรให้โยมบิดาได้บวชเป็นพระสงฆ์ เรื่องการเป็นอยู่ทางบ้านก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีก ทรัพย์สมบัติต่างๆ มอบให้มารดาและพี่น้องเขาปกครองกันเอง ให้คนที่เขายังต้องการอยู่
๒๓
ส่งข่าวให้โยมบิดามาพบ
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ กับ หลวงปู่ขาว อนาลโย
พอหลวงปู่ออกจากกรรมฐาน คือสิ้นสุดการเดินธุดงค์ในครั้งนั้น ก็เดินทางไปกราบหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย กราบเรียนเรื่องความคิดที่อยากให้โยมบิดาของท่านบวช หลวงปู่อ่อน ท่านเห็นด้วย และรับปากจะช่วยดูแลสั่งสอนให้
เมื่อหลวงปู่เพ็ง กลับมาถึงวัดป่าศรีไพรวัน จังหวัดร้อยเอ็ด ก็รีบเขียนจดหมายถึงโยมบิดา ความว่า
ยมพ่อ ในระยะแรกที่อาตมาเป็นฆราวาสอยู่ โยมพ่อให้อะไรก็ตาม อาตมาเต็มใจทำตามทุกอย่าง เป็นต้นว่า อยากให้อาตมาบวช อาตมาไม่ขัดข้อง ออกบวชให้ ต้องการให้ศึกษา อาตมาก็ศึกษาธรรม ต้องการให้ปฏิบัติกรรมฐาน อาตมาก็เดินธุดงค์กรรมฐานให้ จนบัดนี้สมความปรารถนาของโยมพ่อแล้ว
ส่วนเวลานี้ อาตมาไม่ต้องการอะไรแล้ว บาตร จีวร สบง อะไรก็แล้วแต่ อาตมาไม่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องการอะไรอีก
ขอเพียงอย่างเดียว ให้โยมพ่อบวชเป็นพระ ขอให้โยมพ่อมาวันนี้เลย ที่วัดป่าศรีไพรวัน”
หลวงปู่เพ็ง ให้โยมวัดนำจดหมายไปให้โยมบิดาและเตือนผู้ไปส่งว่า
“อย่าให้หายนะ ต้องส่งกับมือ อย่าลืม อย่าพลาด ถ้าไม่มีคนอยู่ก็ให้อ่านให้ท่านฟังด้วย เพราะท่านอ่านหนังสือไม่เป็น”
หลวงปู่กำชับอย่างแข็งแรง
หลวงปู่เล่าเหตุการณ์ที่สุดแสนยินดีในวันนั้นว่า
“พอดีวันนั้นเป็นวันพระ อาตมานั่งคอย เวลาบ่ายคล้อยประมาณ ๓-๔ โมงเย็น อาตมามองเห็นแต่ไกล ท่านนุ่งขาวห่มขาวมาเลย เดินตรงมายังวัด อาตมาเวลานั้นมันตื้นตันใจ ดีใจมาก ถ้าเป็นฆราวาสก็คงกระโดดเต้นทีเดียว อาตมาคิดว่าสำเร็จแน่คราวนี้ ไม่เสียทีที่นึกคิดไว้ อาตมาจดจำวันบุญที่บันดาลนั้นเท่าทุกวัน อยู่ก็เป็นสุข ตายก็เป็นสุข”
๒๔
ฝากโยมบิดาไปกับหลวงปู่อ่อน
เหตุการณ์ในวันนั้นช่างเหมาะเจาะลงตัวไปทุกอย่าง หลวงปู่เพ็งท่านเล่าว่า
“วันนั้น หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี (ในขณะนั้น) ท่านเป็นองค์แสดงธรรมพอดี อาตมาดีใจและได้กราบเรียนท่านว่า กระผมอยากจะฝากโยมบิดาให้ไปอยู่กับหลวงปู่ด้วย
หลวงปู่อ่อน ท่านบอกว่า โอดีแล้ว เอาเลย แล้วท่านก็รับโยมบิดาของอาตมาไปอยู่ด้วย แต่ขณะนั้นท่านได้รับมอบหมายจากพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ไปอบรมธรรมที่โคราชโน่น จังหวัดนครราชสีมา บิดาของอาตมาก็ได้ติดตามหลวงปู่อ่อนไปตลอด จากวัดป่าสาละวัน ก็มาอยู่ที่อำเภอสีคิ้ว หลวงปู่อ่อนได้รับคำสั่งให้ไปประจำอยู่ที่นั่น ๓-๔ พรรษา ประมาณนั้นแหละ”
๒๕
การปฏิบัติธรรม ไม่ต้องเลือกเวลาและพิธีรีตรอง
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
หลังจากที่หลวงปู่เพ็งได้ฝากโยมบิดาให้เป็นตาผ้าขาวติดตามหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ แล้ว ต่างองค์ต่างก็แยกกันไป ท่านเล่าถึงการปฏิบัติในฝ่ายของท่านเอง ดังนี้
ส่วนอาตมานี่เข้าป่าบ้าง สอนกรรมฐานให้ญาติโยมบ้าง เพราะตอนนั้นอาตมาเป็นนักเทศน์ ไปเรื่อยๆ มีเวลาเป็นต้องทำสมาธิกันเลย นิสัยนี้จึงติดตัวอาตมา คือไม่มีพิธีรีตองอะไร นั่งได้หลับตาแล้วกำหนดไปเลย สะดวก ได้ทุกกาล เรื่องภาวนานี่
พระพุทธเจ้าของเรานี้ เก่งมากจริงๆ ท่านรู้ว่าคนขี้เกียจมีมาก พวกผัดวันประกันพรุ่งนี้เกือบล้นโลก พระองค์จึงสอนธรรมะว่าเป็นอะกาลิโก เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และเห็นผลได้ ไม่จำกัดกาลเวลา นี่ท่านว่าอย่างนี้ยังไม่สะดวกอีกหรือ
๒๖
อาพาธหนักให้หลวงปู่คำดีช่วยรักษา
ในพรรษาที่ ๖ หลวงปู่เพ็ง เกิดอาพาธ
“ตอนนั้นอาตมาได้ ๖ พรรษาแล้ว ขณะเดินธุดงค์ในป่า อาตมาป่วยมาก แต่จะเรียกโรคอะไรไม่ได้ เพราะมันรุงรังไปหมด หลังจากนั้นอาตมาเจ็บมือ นี่ตรงแขนนี่นะ เป็นแผลร่องแก้ว ผอมก็ผอม ๓ วันป่วย ๔ วันหาย โรคเวรโรคกรรมนะ
หลวงปู่คำดี ปภาโส
อาตมารู้ว่าเป็นโรคเวรโรคกรรมก็ปล่อยใจสบาย ไม่ต้องทุกข์ ทุกข์ไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเขาจะเอาตาย เราก็ไม่มีทางแก้ไข หาหมอวิเศษอย่างไร เลิศอย่างไรก็ต้องตาย แต่ถ้าเขาไม่เอาตายทันที มันก็ต้องหาย เราไม่กินยามันก็ต้องหายวันหนึ่งละ”
หลวงปู่เพ็ง ได้เดินทางไปอยู่กับหลวงปู่คำดี ปภาโส และอยู่ปฏิบัติธรรมกับท่าน
ช่วงนั้นน่าจะเป็นปี พ.ศ ๒๔๘๑ ตามประวัติ หลวงปู่คำดีอธิษฐานจำพรรษาที่วัดถ้ำกวาง บ้านหินร่อง ตำบลเมืองเก่า อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เนื่องจากเป็นที่ทุรกันดารมาก ไข้ป่าชุกชุม ท่านจึงตั้งสัจจะอธิษฐานอยู่ที่ถ้ำกวางนี้ ๕ พรรษา
หลวงปู่เพ็ง ได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่คำดี
หลวงปู่คำดี ท่านรักษาโรคให้อาตมา ๑ พรรษาเต็ม จนหายขาดมาถึงบัดนี้ พรรษาต่อมาอาตมาได้ปฏิบัติอยู่กับท่าน เข้าอยู่ป่าช้าพร้อมกับพระอีกรวม ๘ องค์
๒๗
จัดการบวชพระให้โยมพ่อ
ในช่วงที่หลวงปู่พำนักปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่คำดี ปภาโส ที่ถ้ำกวางนั้น ท่านได้รับจดหมายจากหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ จากจังหวัดนครราชสีมา มีข้อความสั้นๆ ว่า
“ท่านเพ็ง โยมผ้าขาวของท่านนี้ จะให้ผมจัดการบวชให้ หรือท่านจะจัดการบวชเอง”
หลวงปู่เพ็ง เขียนตอบกลับไปว่า
“กระผมจะจัดการบวชโยมบิดาเองครับ หลวงปู่”
จากนั้นหลวงปู่เพ็งท่านก็จัดการเตรียมเครื่องบวช ลงมือด้วยตัวท่านเอง ทำการเย็บจีวร สบง สังฆาฏิ และอื่นๆ เสร็จในเวลา ๓ วัน ๓ คืน
ในปี ๒๔๘๒ หลวงปู่เพ็ง ก็ได้บวชโยมบิดาของท่าน เป็นหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ สถานที่ทำพิธีบวช ณ พัทสีมา วัดบึงพระลานชัย อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ทราบแต่เพียงว่าเวลา ๑๕.๑๘ น มีคณะสงฆ์ร่วมพิธี ๑๑ รูป โดยมี ท่านพระครูคุณสารพินิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ปลัดแก้ว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ปีนั้น หลวงปู่บัว อายุได้ ๕๓ ปีพอดี
หลังจากพิธีบวชแล้ว ทั้งหลวงปู่เพ็ง และหลวงปู่บัว ไปพำนักอยู่ที่วัดป่าศรีไพรวันในจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งหลวงปู่เพ็ง เป็นเจ้าอาวาสวัดในขณะนั้น ท่านพักอยู่ด้วยกันตลอด ๑ พรรษา
๒๘
หลวงปู่บิดาของท่านไปภาวนาที่มหาสารคาม
หลวงปู่เพ็ง เล่าเหตุการณ์ในช่วงนั้นว่า
“ช่วงนี้ ปี พ.ศ.๒๔๘๗ อาตมามีภาระมากมาย ออกเทศน์โปรดญาติโยมในถิ่นใกล้ไกลโดยส่วนมาก หาเวลาว่างยากทีเดียว ตอนกลางคืนสอนพระกรรมฐาน ที่ได้รับความรู้ต่างๆ จากครูบาอาจารย์และประสบการณ์ที่ได้รับมาด้วยตัวเอง และเห็นว่าอาตมาคงไม่มีเวลาแนะนำหลวงปู่ผู้บิดาเป็นแน่แล้ว อาตมาจึงพาหลวงปู่ผู้บิดาเดินทางไปทางพระอาจารย์คูณ เพื่อฝากฝังไว้กับท่าน
พระอาจารย์คูณองค์นี้ ท่านเก่งทางด้านปฏิบัติภาวนามาก วัดที่ท่านอยู่ชื่อ วัดพูลศรีสารคาม จังหวัดมหาสารคาม เป็นวัดเก่า ชื่อเก่าแต่ขณะนี้ไม่ทราบว่าเปลี่ยนเป็นชื่ออะไร แต่ชื่อเก่าว่า วัดพูลศรีสารคาม
เมื่อไปพบฝากฝังกับท่านอาจารย์คูณแล้ว บิดาของอาตมาได้เที่ยวธุดงค์ไปกับท่านอาจารย์ไปเรื่อยๆ อยู่ป่านะ บิดาของอาตมาได้กรรมฐาน จากท่านมาก อาตมาเคยร่วมธุดงค์กับท่านคราวหนึ่งแล้ว ที่วัดนี้แหละ อาตมาได้มีโอกาสพบกับพระบุญนาค"
“พระบุญนาค นี้ พวกโยมคงรู้จักชื่อเสียง ในหนังสือพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ที่เคยอ่านประวัติท่านนั่นแหละ อาตมาพบท่านที่วัดนี้ และได้ออกเที่ยวธุดงค์กัน”
๒๙
เที่ยวกรรมฐานกับพระอาจารย์นาค
พระบุญนาค โฆโส
“สามเณรบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน”
หลังจากหลวงปู่บัวพระผู้บิดาของหลวงปู่เพ็ง อยู่ปฏิบัติภาวนากับพระอาจารย์คูณ ที่จังหวัดมหาสารคามแล้ว หลวงปู่เพ็งก็ออกเที่ยวกรรมฐานไปกับท่าน พระบุญนาค โฆโส หรือที่ หลวงปู่ท่านเรียกว่า อาจารย์นาค นั่นเอง
หลวงปู่เพ็ง เล่าถึงพระอาจารย์บุญนาคว่า
“ท่านเก่งเรื่องธุดงควัตรมาก ชำนาญป่า ป่าดงสมัยก่อนนั้นไม่มีโปร่งอย่างทุกวันนี้ มืดมิดจริงๆ ทางเดินนี่ไปเป็นช่องเท่านั้นแหละ แสงตะวันไม่ต้องมองหรอก เอาจริงนะสมัยนั้น”
จากบันทึกด้วยลายมือของหลวงปู่เพ็ง ท่านเขียนเล่าไว้ดังนี้ (ข้อมูลส่วนนี้สับสนไปหน่อยไม่ยืนยันว่า จากบันทึกข้างล่าง กับเหตุการณ์ข้างต้นเป็นการออกธุดงค์ครั้งเดียวกันหรือไม่ ด้วยความเร่งรีบจึงไม่มีเวลาตรวจสอบความชัดเจนของข้อมูลได้ ต้องขออภัยด้วย - ผู้เขียน)
“...พอรู้ว่าสอบได้ ก็ลาอุปัชฌาย์ออกเดินธุดงค์จากสำนักเรียนเข้าร้อยเอ็ด เดินทางต่อถึงมหาสารคาม มีพระอาจารย์นาค โฆโส ก็เข้าศึกษาปฏิบัติกรรมฐานกับท่าน
มีพระด้วยกัน ๔ รูป สามเณร ๑ รูป คือ พระมหาแก่นจันทร์ ประโยค ๖ พระอาจารย์นาค พระเพ็ง เมตโย พระพัน สามเณรสุวะ อยู่ไม่นานท่านก็พาเดินธุดงค์ไปถ้ำพระเวส จังหวัดนครพนม อำเภอนาแก แต่แยกกันไปทีละรูปสองรูป ไม่ได้ไปด้วยกัน ต่างคนต่างไป
มหาแก่นจันทร์ ไปรูปเดียว อาจารย์นาคไปกับสามเณร พระเพ็งไปกับพระพัน ไปพบพร้อมที่ถ้ำพระเวส ก่อนจะถึงถ้ำพระเวสก็ผ่านถ้ำภูค้อ ของอาจารย์สอนก่อน
อาจารย์นาค กับสามเณร ถึงก่อน พระเพ็ง พระพัน ถึงที่ ๒ มหาแก่นจันทร์ถึงทีหลัง พักอยู่ถ้ำพระเวส ภายใน ๑๐ กว่าวัน ก็เดินทางกลับทางจังหวัดขอนแก่น เดินทางธุดงค์หนึ่งเดือนจึงถึง
มาพักปฏิบัติธรรมอยู่ป่าช้าบ้านเหล่างา สักพักหนึ่ง ก็เดินทางต่อ ไปปฏิบัติธรรมอยู่วัดป่าชัยวัน บ้านสีถาน พักอยู่หลายวัน”
น่าเสียดายอย่างยิ่ง บันทึกของหลวงปู่ หมดลงเพียงแค่นี้
๓๐
หลวงปู่บัวไปเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
หลวงปู่เพ็งได้เล่าถึงเหตุการณ์ทางด้านหลวงปู่บัว บิดาของท่านที่อยู่ปฏิบัติภาวนากับพระอาจารย์คูณที่จังหวัดมหาสารคาม ว่า
“ต่อมาพระอาจารย์คูณ ได้มรณภาพลง พระอาจารย์ส่วน ได้พาพระบิดาของอาตมาไปพบหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่บ้านหนองผือ (ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร)
เมื่อบิดาอยู่กับหลวงปู่มั่น เรียบร้อยแล้วอาตมาเห็นว่าหลวงปู่ผู้บิดาได้ครูบาอาจารย์ผู้เลิศด้วยปัญญาแล้ว จากนั้นอาตมาจึงค่อยห่างเหินท่านไป
สำหรับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต นี้อาตมาไม่มีวาสนาได้พบกับท่านเลย สู้หลวงปู่ผู้บิดาไม่ได้ ท่านมีวาสนาที่ได้เป็นศิษย์ของท่าน ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าหลวงปู่มั่น จำพรรษาอยู่ที่นั่นก็ตาม อาตมาแข่งบารมีท่านบิดาไม่ได้หรอก เพราะท่านมีคุณวิเศษหลายอย่าง”
๓๑
วิบากมาพรากออกไปครองเพศฆราวาส
ในพรรษาที่ ๒ หลวงปู่เพ็งพบวิบาก ต้องสึกออกไปครองเพศฆราวาสอยู่หลายปี ท่านได้เล่าเรื่องนี้ว่า
พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม อ.ท่าใหม่
จ.จันทบุรี มาคารวะศพหลวงปู่
“ในชีวิตก็ได้บวชเรียนเข้ามา อาตมาได้นำกาย วาจา ใจ เข้ามาหมดสิ้นเพราะรู้ดีว่าพระพุทธศาสนาเรานี้ ถ้าผู้ใดมีสติปัญญา ย่อมค้นคว้าได้ของดีติดตามไป เราอยู่ในเพศบรรพชิต ก็ต้องเพียรพยายามรักษากายวาจาใจ ในขอบข่ายของพระธรรมวินัย ส่วนการประพฤติในทางจิตแล้วเราต้องฝึกฝนด้วยตนเอง ไม่มีใครจะมาบังคับเรา ดีหรือชั่ว เราคนเดียวเท่านั้นจะได้รับ เราจะรู้ด้วยตัวเราเอง ใครบอกไม่ได้ หรือจะไปถามใครก็ไม่ได้เช่นกัน...
อาตมาบวชมาในครั้งแรก ทั้งพระและเณรรวมแล้ว ๑๓ พรรษา แต่เป็นที่น่าเสียดาย วิบากกรรมที่อาตมาหนีไม่พ้น มาพรากออกไปครองเพศฆราวาสเสียหลายปี อาตมาเสียทีกิเลสไปพักหนึ่ง
เรื่องนี้พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม อำเภอท่าใหม่จังหวัดจันทบุรี ท่านรู้ประวัติของอาตมาดี อาตมาเคยไปพักอยู่กับท่านหลายครั้งหลายหนนะ
ในสมัยที่ท่านอาจารย์สมชายออกบวชเป็นสามเณร อาตมาเคยเป็นผู้สวดให้ท่าน และหลังจากอาตมาออกบวชเป็นครั้งที่ ๒ อาตมาไปเยี่ยมท่านที่วัดเขาสุกิม จะทำความเคารพท่าน (กราบ) แต่ท่านไม่ยอม ท่านไม่ยอมให้อาตมาทำอย่างนั้น อาตมาต้องให้เหตุผลต่อท่าน อาตมาพูดจนผลสุดท้ายท่านยอม แต่ท่านก็เป็นพระดี ไม่ถือตัวนะ หลวงปู่ของท่าน อาตมาไปกราบอยู่เสมอๆ อาตมารู้จักกับท่านมานาน...”
หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม กับหลวงปู่เพ็งท่านรักใคร่และเคารพนับถือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี หลวงพ่อสมชาย ท่านนับถือหลวงปู่ในฐานะเคยเป็นครูอาจารย์ท่าน ทางฝ่ายหลวงปู่ก็นับถือหลวงพ่อสมชายตามพระธรรมวินัย ที่อาวุโสพรรษามากกว่า ในการทำบุญวันเกิดของหลวงพ่อสมชาย กลางเดือนเมษายนทุกปี หลวงปู่เพ็ง ได้รับนิมนต์ไปร่วมเป็นประจำ ผู้เขียน (ปฐม นิคมานนท์) เคยขับรถไปส่งหลวงปู่หลายครั้ง
เมื่อหลวงปู่เพ็งมรณภาพ ศพของท่านได้ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าสามัคคีธรรม จังหวัดร้อยเอ็ด หลวงพ่อสมชาย ยังได้มาคารวะศพด้วยตัวท่านเอง ทั้งๆ ที่ท่านกำลังอาพาธ และอยู่ในความดูแลของหมอ
๓๒
สอนเรื่องจิต เอาจิตอย่างเดียว
หลวงปู่เพ็งท่านย้อนระลึกลงที่เคยสอนญาติโยมในอดีต (และสืบเนื่องมาจนปัจจุบันด้วยดังนี้
ในระยะที่อาตมาออกโปรดญาติโยม ส่วนมากอาตมาสอนเรื่องจิต เอาจิตอย่างเดียว ขอให้ สติ เราดีเถิด จิตนี้หมายถึงความระลึกรู้ ทางดีก็รู้ ทางชั่วก็รู้ ความระลึกรู้นี้ท่านเรียกว่า จิต สิ่งอื่นต่างๆ ไม่เอามาเป็นอารมณ์ สิ่งใดก็ตาม ถ้าเข้ามารบกวนจิตใจต้องปล่อยทิ้งให้หมด ภาวนาไปเอาตัวรู้ไว้กับเราอย่างต่อเนื่อง
จิต หรือ วิญญาณ ก็เป็นอันเดียวกัน เมื่อตาเห็นรูป รู้ดีรู้ชั่ว รู้สวยรู้ไม่สวย รัก-ไม่รัก สิ่งเหล่านี้มันลงมารวมที่จิต
หู ได้ยินเสียงก็เหมือนกัน จมูกได้กลิ่นก็เหมือนกัน ลิ้นได้ลิ้มรสก็เหมือนกัน กาย ถูกสัมผัสก็เช่นเดียวกัน
สิ่งที่ต่อเนื่องมาจากประสาทสัมผัสทั้งหลายเหล่านี้ เรียกว่าวิญญาณ มันจะต่อเนื่องมาถึงใจ จึงเป็นเหตุพอใจ กับไม่พอใจเกิดขึ้น และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นอาการของจิต ท่านจึงให้มีสติระลึกรู้ในอาการเคลื่อนไหวของจิต
จิตเคลื่อนไหวไปต่อเนื่องกับอารมณ์ หรือสิ่งที่มากระทบการพิจารณาอย่างนี้แหละเรียกว่า จิตตานุปัสสนา เพราะเราตามรู้จิตที่เคลื่อนไหว มีสติรู้ตาม
นี่เป็นบางส่วนที่อาตมาสอนญาติโยมในขณะนั้น
๓๓
พ้นวิบากกรรม คิดบวชเป็นครั้งที่สอง
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโน
วัดราษฎรสงเคราะห์
อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
มีเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้หลวงปู่กลับเข้ามาบวชอีกครั้งเป็นครั้งที่สอง ดังนี้
อาตมาพ้นวิบากกรรม ตัดขาดโลกภายนอกได้และคิดบวชเป็นครั้งที่ ๒ สาเหตุมีอยู่ว่า อาตมาสึกออกมาทำกิจการส่วนตัว มีโรงสีข้าว ๓ โรง รับ ซื้อข้าวเปลือก ออกหาข้าวเปลือกมาสีนะ งานนี้เหนื่อยไม่เบาเลย ทำการค้าอีกหลายอย่างในเวลานั้นนะ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาตมาไปโน่น...ข้ามไปลาว ความจริงต้องการไปติดต่อซื้อของเมืองเวียงจันทน์ ไปเห็นสภาพของการทำมาหากินแล้วโอย มันโกลาหลวุ่นวายเหลือกำลัง พวกเฒ่าๆ แก่ๆ นี่นะ ไม่มีอะไรเลยปล่อยชีวิตขาดทุนทุกวันๆ เขาได้เงินทองมาก็เข้าโรงเหล้า เข้าบาร์กัน มั่วสุมอยู่กับโลกีย์วิสัย มีครบนะความชั่วทั้งปวง เหล้า กัญชา เฮโรอีน ยาฝิ่น เป็นอยู่อย่างนี้ทุกวันไปเลย
มิหนำซ้ำ ลูกสาวเพื่อน เขาไปได้สามีอยู่ฝั่งลาว แล้วสามีของเขาไปติดคุกเสีย พออาตมาข้ามไป คิดดูเถิด ทั้งๆ ที่อาตมามีอายุเท่าพ่อของมัน อีกอย่างหนึ่งพ่อของมันก็เป็นเพื่อนของอาตมาด้วย มันยังจะมาเอาอาตมาไปเป็นผัวมัน อาตมาคิดในใจว่า โอ...มันจะลากคอเราลงนรกด้วยนี่
อาตมาก็หนีเลย ข้ามฝั่งกลับไปอยู่เมืองพ่อเมืองแม่เราจะดีกว่า แล้วเข้าไปหาหลวงปู่ของอาตมา (หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ) ท่านบวชแล้วนะ ตอนนั้น พอไปถึงก็ได้ฟังเทศน์ท่าน อาตมาก็ตั้งใจภาวนา ทบทวนธรรมที่เราเคยทอดทิ้งไป กิเลสนี่สำคัญนะ มันคอยหลอกล่อเราตลอดเวลา ๓ วัน ๓ คืน สู้กันให้สมใจกับความพ่ายแพ้มาแล้วครั้งหนึ่ง
หลวงปู่มรณภาพ
ใครเล่าจะคาดคิด ว่าหลวงปู่จะทิ้งพวกเราไปเร็วเช่นนี้ หลวงปู่ท่านดุและตักเตือนพวกเราว่า
ให้เร่งภาวนาอย่าประมาท ความตายมันไม่มีสัญญาณเตือน หรือนิมิตหมายบอกเราให้รู้ล่วงหน้า คนแก่ก็ตาย คนหนุ่มก็ตายได้ทั้งนั้น การปฏิบัติธรรมจึงไม่ต้องอ้างเมื่อนั้นเมื่อนี้ ทำให้มากๆ ทำให้บ่อยๆ แล้วจะรู้จะเห็นเอง
ทางโรงพยาบาลได้ให้การดูแลรักษาหลวงปู่ อย่างเอาใจใส่ คุณหมอบอกว่าจำเป็นต้องผ่าตัดโดยรีบด่วน แต่จะต้องตรวจให้ละเอียดด้วยเครื่องตรวจคลื่นแม่เหล็กก่อน จึงจะบอกได้ว่าจะผ่าตัดตรงไหน อาจผ่าตัดในคืนนั้นก็ได้ ขอให้พวกเราพูดให้หลวงปู่เข้าใจ จะได้ให้ความร่วมมือกับหมอในการรักษา
หลวงปู่ บอกว่า
ภาวนาดูแน่ชัดแล้ว จิตมันบอกว่า ไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าหมอจะผ่าจริงๆ อาตมาก็ไม่ว่าอะไร เชิญตามสบาย
แล้วท่านก็ยังบอกเป็นนัยๆ พอจับใจความได้ว่า
มันไม่ยอมถอย กำลังต่อรองกันอยู่ มันค่อยๆ อ่อน ทำท่าจะยอมแล้ว ” (ท่านหมายถึงวัวที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร)
ผลการตรวจส่องด้วยเครื่องตรวจคลื่นแม่เหล็กไม่พบจุดที่เส้นเลือดแตก จึงยังผ่าตัดไม่ได้ แต่ยังไว้ใจไม่ได้ เพราะหลวงปู่อายุมากแล้ว เส้นเลือดเปราะ อาจจะแตกอีกเมื่อไรก็ได้
ทางคุณหมอจึงแนะนำให้หลวงปู่นอนนิ่งๆ รอดูอาการสัก ๒ สัปดาห์ แล้วจึงจะตรวจซ้ำครั้งที่ ๒ ได้
หลวงปู่อาการค่อยดีขึ้น ท่านมีสติดีอยู่ตลอดเวลา แต่มีสายยางฟอกอากาศสอดเข้าไปในหลอดลม หลวงปู่จึงพูดไม่ได้ ได้แต่ขยับมือทำท่าคล้ายบอกว่า
ไม่ต้องห่วง อาตมาตัดหมดแล้ว ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่เอา
พวกเราพยายามไม่บอกให้ใครรู้ เพราะไม่อยากให้คนไปเยี่ยมมาก เนื่องจากหลวงปู่อยู่ในสภาพที่ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย เฉพาะเชื้อโรคในโรงพยาบาล ก็มีมากอยู่แล้ว แถมดื้อยาด้วย จึงไม่อยากให้ใครต่อใครนำเชื้อจากข้างนอกไปเพิ่มอีก เอาไว้หลวงปู่ปลอดภัยแล้วค่อยไปกราบเยี่ยม
ครูบาวีระโชติ กับ คุณนักรบ ศิษย์ของหลวงปู่รับหน้าที่อยู่โยงเฝ้าอาการหลวงปู่ทุกวัน คนอื่นๆ แวะเวียนกันมาเยี่ยม ผมกับคุณเทียมศักดิ์ ไปเยี่ยมทุกบ่ายในสัปดาห์แรก พอสัปดาห์ที่สองก็ไปบ้างหยุดบ้าง เพราะหลวงปู่แสดงอาการว่าค่อยยังชั่วขึ้น
ตอนหลังปรากฏว่าหลวงปู่ทรุดลง รู้สึกเหนื่อยอ่อน หายใจหอบ หมอพบว่าปอดของท่านมีอาการติดเชื้อ ได้ย้ายเข้าไปรักษาในห้องไอ.ซี.ยู ให้การดูแลเป็นพิเศษ
ถึงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ หลวงปู่ทรุดลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงช่วงเย็นวันที่ ๑๓ ดูหลวงปู่หายใจหอบมาก หมออนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ครั้งละ ๒ คน ผมกับเทียมศักดิ์ ยืนอยู่คนละข้างเตียง หลวงปู่ท่านหายใจหอบ แต่ผิวพรรณท่านสดใสมาก
หลวงปู่ยกมือขึ้นประนม ทำปากหมุบหมิบคล้ายบริกรรมคาถาหรือสวดมนต์ แล้วกราบ ๓ ครั้ง เอามือลงไว้บนหน้าอก เทียมศักดิ์กับผมได้แต่ยกมือประณมขึ้นตาม เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น
ตอนหลัง คุณฐาปวีร์ หรือ ตะวัน บอกว่า เธอโผล่เข้าประตูไปเห็นเราสองคนยืนประณมมืออยู่คนละข้างเตียง หลวงปู่ยกผ้าไตรคล้ายกับกำลังจะถวายใคร
พอพวกเราออกมา คุณตะวัน ก็เข้าไป ถามหลวงปู่ว่ามีพระมาใช่ไหมหลวงปู่แสดงอาการตอบรับว่าใช่ และได้ความว่า ท่านหลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระบาทเขารวก จ.พิจิตร มาเยี่ยม
พวกเราเข้าไปครั้งที่สอง เข้าไปล้อมเตียงหลวงปู่อยู่ ๔-๕ คน พยาบาลก็ไม่ห้าม (เพราะพวกเราดื้อ)
หลวงปู่ทำท่าขอกระดาษ ปากกา เทียมศักดิ์ได้ฉีกกระดาษเปล่าที่อยู่แผ่นสุดท้ายในแฟ้มคนไข้ส่งให้ ใช้แฟ้มคนไข้เป็นที่รองเขียน หลวงปู่รับปากกาเขียนขยุกขยิกลงไป มีอยู่กลุ่มหนึ่งอ่านได้ชัดเจนว่า เผาศพ เทียมศักดิ์ตกใจ แต่ไม่กล้าบอกพวกน้องๆ ที่อยู่ที่นั่น กลัวพวกเราจะเสียกำลังใจ
พอ ๖ โมงเย็น หมดเวลาเยี่ยม พวกเราก็กราบลาหลวงปู่ ออกมานอกห้อง มีลูกศิษย์-ลูกหลานไปเฝ้าหลวงปู่เย็นนั้นสัก ๑๐ คนเห็นจะได้ แต่ละคนพอจะคาดเดาอะไรได้บ้าง แต่ละคนนิ่งเงียบ ยังรอนอกห้องไม่ยอมกลับ ผมได้บอกกับคณะว่า ขอทุกคนอย่าได้เศร้าโศกหรือหมดกำลังใจ เราสวดมนต์ และหลวงปู่ก็พร่ำสอนว่า การเจ็บการตายเป็นของธรรมดา ไม่ใช่สิ่งผิดปกติแต่อย่างใด และท่านยังพูดเสมอว่า
พวกขี้แย น้ำตาไหล ซะ ซะ พระพุทธองค์ไม่ขนไปพระนิพพานด้วยหรอก 
ขอให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ฝากเบอร์โทรศัพท์ไว้กับพยาบาล แล้วพวกเราต่างก็แยกย้ายกันกลับ ผมย้ำกับหมู่พวกเราว่า
ทำใจให้สบาย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดาหลวงปู่กำลังแสดงให้เราดูแล้ว ขอให้กลับไปพิจารณาให้เห็นชัด
๘๕
ถวายการสรงน้ำ
และนิมนต์หลวงปู่กลับร้อยเอ็ด
พิธีถวายน้ำสรงที่ โรงพยาบาลประสาท พญาไท
หลวงปู่เพ็ง เป็นพระกรรมฐานที่มีจิตใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว พูดตรง ทำจริง ท่านเคยส่งว่า
อย่าเอาศพอาตมาไว้เป็นเครื่องมือหากินเด้อ ให้เผาภายใน ๓ วัน ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ไม่ต้องนิมนต์พระสวดให้อาตมา ถ้าสวดก็สวดให้พวกสูที่ยังอยู่ก็แล้วกัน
วันพุธที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ เวลาใกล้ๆ จะถึง ๔ ทุ่ม ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณสุรสิทธิ์ เวียงอินทร์ ลูกชายของหลวงปู่บอกว่าทางโรงพยาบาลแจ้งมาว่า หลวงปู่ ได้มรณภาพแล้ว น่าจะเป็นเวลา ๒๑. ๒๕ น. แล้วพวกเราก็ส่งข่าวถึงกัน และนัดแนะไปพบกันที่โรงพยาบาลในตอนเช้า
ผมโทรศัพท์ไปหาคุณเทียมศักดิ์-คุณสมทรง ทั้งสองคนจะไปประสานงานที่โรงพยาบาลแต่เช้า ส่วนผมขอจัดการธุระบางอย่างก่อนจะไปถึงโรงพยาบาลประมาณ ๙.๐๐ น.
เช้าวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ คณะศิษย์ไปพร้อมกันที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาล มีพระสงฆ์ ๒ องค์ คือ ครูบาวีระโชติ กับ ครูบาสมัคร นอกนั้นเป็นฆราวาสจำนวน ๑๐ กว่าคน
มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคอยช่วยเหลือ ๓ คน คนที่ ๑ ขอให้ไปติดต่อขอใบมรณบัตรที่อำเภอ คนที่สอง ช่วยจัดการติดต่อรถ และโลง คนที่สาม จัดการเรื่องการกราบขอขมาและถวายน้ำสรงหลวงปู่
พวกเราช่วยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลฉีดยากันเน่า ห่มจีวรถวายหลวงปู่ จัดให้ท่านนอนบนเตียงเข็น จัดตั้งกระถางธูปเทียน ทำพิธีขอขมา แล้วจัดถวายน้ำสรงในบริเวณห้องเก็บศพนั้นเอง ถวายน้ำสรงเสร็จทุกคนแล้วก็อัญเชิญท่านลงในโลงที่ทางโรงพยาบาลสั่งมาให้
ประมาณ ๑๑.๐๐ น. เมื่อรถพร้อม พิธีสรงน้ำเสร็จ ได้รับใบมรณบัตรจากอำเภอเรียบร้อย ก็เคลื่อนรถนิมนต์หลวงปู่กลับจังหวัดร้อยเอ็ด มีครูบาวีระโชติ ครูบาสมัคร และคุณนักรบ ศิษย์อุปัฏฐากหลวงปู่ ติดตามไปกับรถ ส่วนเทียมศักดิ์กับผม ขับรถตามไปทีหลัง เพราะต้องจัดการธุระบางอย่างก่อน
ในใบมรณบัตรระบุว่า หลวงปู่มรณภาพเนื่องจาก ปอดไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศ
เป็นอันว่าท่านพระครูสิริหรรษาภิบาล (หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม) ได้ละสังขารที่สถาบันประสาทวิทยา โรงพยาบาลประสาทพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ เมื่อวันพุธที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕ เวลา ๒๑.๒๕ น.
สิริรวมอายุได้ ๘๗ ปี ๖ เดือน ๗ วัน พรรษา ๓๖ (เฉพาะการบวชครั้งที่สอง)
๘๖
กำหนดการบำเพ็ญกุศล
พิธีถวายน้ำสรงที่ วัดป่าสามัคคีธรรม
หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ท่านไม่ใช่พระดัง ท่านพูดให้ฟังว่า
พระก็เหมือนกบ ตัวไหนร้องเสียงดังคนยิ่งชอบ เพราะตัวมันโต เรียกให้คนไปเสาะหา แล้วก็ตายเพราะเสียงร้องของมัน หลวงปู่ถือคติดังกล่าวเป็นเครื่องเตือนใจท่านเสมอ และพูดด้วยความมั่นใจว่า
ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ต้องง้อ ไม่ต้องอ้อนวอน ใครมีบุญใครสนใจ ก็เข้ามาศึกษา มาปฏิบัติเอาเอง
เนื่องจากหลวงปู่ท่านเป็นพระง่ายๆ ไม่เน้นพิธีรีตอง การจัดงานศพของท่านจึงต้องให้เรียบง่าย และให้เร็วที่สุด ให้เผาภายใน ๓ วัน
ศพของหลวงปู่เดินทางไปถึงวัดป่าสามัคคีธรรมในวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. อัญเชิญไปตั้งบำเพ็ญกุศลในศาลาอเนกประสงค์ของวัด
ผมกับคุณเทียมศักดิ์ ขับรถตามไป ถึงวัดประมาณ ๒๐.๐๐ น. ภายหลังศพหลวงปู่ราว ๑ ชั่วโมง เห็นญาติโยมรออยู่ ๒๐ กว่าคน มีท่านพระครูญาณรัตนากร เจ้าอาวาสวัดป่าทรงธรรม และเจ้าคณะอำเภอโพนทอง ท่านมานั่งเป็นประธาน และเป็นแม่งานให้ ทำให้พวกเรามีหลักยึดเกาะในการจัดงานศพหลวงปู่ ทำให้ไม่รู้สึกเคว้งคว้าง
นอกจากนี้ยังมี อาจารย์มหาอดิศักดิ์ จันทกำจร จากยุวพุทธิกสมาคม จังหวัดร้อยเอ็ด มาช่วยอย่างแข็งขันอีกแรงหนึ่ง การดำเนินงานจัดการศพของหลวงปู่ ก็ดูมั่นใจขึ้น
พวกเราจัดการประชุมปรึกษากันถึงการดำเนินงานบำเพ็ญกุศลศพหลวงปู่ทันที โดยมีท่านพระครูญาณรัตนากร เป็นประธานในที่นั้น ผู้ร่วมประชุม ได้แก่ ครูบาวีระโชติ ครูบาสมัคร พระลูกศิษย์ของหลวงปู่ ตัวแทนญาติโยมจากวัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสวรรค์ ตัวแทนญาติโยมจากวัดป่าสิริปุณโณ บ้านฝาง มีคุณสำราญ-คุณวิไลจิต สุ่มมาตย์ ตัวแทนลูกหลานหลวงปู่ มีผมกับเทียมศักดิ์เป็นตัวแทนศิษย์จากกรุงเทพฯ และอาจารย์มหาอดิศักดิ์ จากยุวพุทธิกสมาคมร้อยเอ็ด
พวกเรายึดคำสั่งของหลวงปู่ว่าให้เผา ไม่ให้เก็บร่างท่านไว้ แต่เผาใน ๓ วันนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะกะทันหันเกินไป น่าจะเป็นวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อให้ศิษย์ที่อยู่ไกลๆ มาร่วมได้
เมื่อดูตามปฏิทินแล้ววันเสาร์ที่ ๙ - อาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๔๕ น่าจะเป็นช่วงที่เร็วที่สุดพอจะทำได้ จัดเร็วกว่านั้นพวกเราติดธุระ ท่านพระครูต้องเดินทางไปจังหวัดอื่น ส่วนผมเองติดภาระต้องพาพรรคพวกไปทอดผ้าป่าสร้างเจดีย์หลวงปู่มั่น ที่วัดป่าพระอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
พวกเราตกลงกันจะขอพระราชทานเพลิงด้วย โดยท่านพระครูญาณรัตนากร เป็นผู้ดำเนินเรื่องไปจากจังหวัดร้อยเอ็ด แล้วให้ผมไปจัดการต่อที่กรมการศาสนา และแน่นอนเรื่องการจัดทำหนังสือที่ระลึกก็มอบให้ผมรับเอาไป
เราตกลงเรื่องกำหนดการ ดังนี้
๑๔ กุมภาพันธ์ - ๙ มีนาคม ๒๕๔๕ : ตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าสามัคคีธรรม เวลา ๑๙.๐๐ น. สวดพระอภิธรรมทุกคืน
พุธที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ : ทำบุญครบรอบ ๗ วัน
เสาร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๕ : พิธีพระราชทานเพลิงศพ
อาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๔๕ : พิธีเก็บและฉลองอัฐิ
เมื่อทราบกำหนดการที่ชัดเจน และแบ่งหน้าที่กันแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนหลับนอน
๘๗
หลวงปู่สั่งอะไรและเตรียมอะไร
เกี่ยวกับงานศพของท่าน
แน่นอน หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ท่านจากพวกเราไป ย่อมเป็นที่ห่วงหาอาลัยแก่บรรดาศิษย์ และผู้ที่เคารพศรัทธาในตัวท่าน
ท่านเน้นย้ำให้พิจารณาทุกอย่างให้เป็นธรรมะให้เห็นว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องนำมาเศร้าโศกเสียใจ
หลวงปู่พูดเสมอว่า คนขี้แย ร้องไห้น้ำตาไหล ซะ ซะ พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาไปนิพพานดอก
เรื่องจัดการศพ ท่านพูดบ่อยว่าให้เผาให้เร็ว ใน ๓ วันทำง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ไม่ต้องสวดให้ท่าน ถ้าจะสวดให้สวดเพื่อเตือนคนอยู่ ที่สำคัญไม่ให้เก็บร่างท่านไว้ เพื่อเป็นเครื่องมือหาเงิน หรือเพื่อดึงคนเข้าวัด
ท่านบอกว่า แม้สรีระของพระพุทธองค์ท่านยังให้เผาภายใน ๗ วัน ร่างกายที่ไม่เน่าไม่เปื่อยจะมีหรือธรรมชาติของร่างกายต้องผุพังสลายไป มีดวงจิตเท่านั้นเป็นตัวอมตะ คือไม่รู้จักตาย
หลวงปู่ เตรียมโลงศพของท่านไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าท่านสิ้นลงให้ไปถามเอาที่วัดเทิงเสาหิน ผมได้โทรศัพท์สอบถามไป ท่านหลวงปู่พรหม ได้ให้ญาติโยมนำมาให้ตั้งแต่เช้าวันศุกร์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ทันการสวดพระอภิธรรมในวันแรก
หลวงปู่ ได้เตรียมที่ดินไว้หนึ่งแปลง เนื้อที่ประมาณ ๔ งาน ไว้ตรงมุมด้านขวามือทางเข้าวัด เกลี่ยที่ไว้เรียบร้อยสำหรับเป็นที่เผาศพของท่าน
ในบริเวณเดียวกัน ได้เริ่มก่อสร้างศาลาชั้นเดียว ๑ หลังเทพื้น และขึ้นโครงหลังคาไว้แล้ว เตรียมไว้ให้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์บริขารของท่าน และบอกฝากคุณฐาปวีร์ หรือ คุณตะวัน ว่าให้ทาสีเขียว
หลวงปู่บอกไว้กับครูบาวีระโชติ ว่าท่านต้องการทำบุญด้วยผ้าไตรจีวรจำนวน ๑๐๐ ชุด พวกเราได้เตรียมจัดถวายในวันพระราชทานเพลิงศพของท่านไว้เรียบร้อยแล้ว
เรื่องที่ดินเนื้อที่ ๑๒ ไร่เศษ ที่อยู่ติดด้านหลังศาลาท่านต้องการให้ซื้อไว้ เพื่อทำเป็นเขตที่พักสำหรับพระสงฆ์ หลังจัดการพระราชทานเพลิงศพท่านแล้วคงจะได้เริ่มดำเนินการ
อีกเรื่องที่เป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนโดยตรง คือ การทำหนังสือที่ระลึกของท่าน อยากให้มีประวัติของ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ บิดาของท่าน ไว้ด้านหน้าด้วย
คณะศิษย์คงจะได้ร่วมกันจัดทำทุกอย่างตามเจตจำนงของหลวงปู่ให้ลุล่วงด้วยดี
ที่หลวงปู่เน้นย้ำที่สุดคือให้ภาวนาอย่างจริงจัง อย่ามัวทำเล่นๆ เพราะ ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล พวกสูก็ยังไม่เอาจริง พระพุทธเจ้าชวนไปพระนิพพานก็ยังไม่อยากไป มาชาตินี้ยังทำเล่นๆ อีกก็ตามใจ อาตมาไม่รอแล้ว
๘๘
พลังจิตเปี่ยมด้วยเมตตา
ในตอนนี้เป็นตอนสุดท้าย ซึ่งจะปิดต้นฉบับมอบให้โรงพิมพ์ ไม่สามารถยืดเวลาไปได้อีกแม้แต่วันเดียว ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันแจกในวันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ วันเสาร์ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๕
ด้วยความบังเอิญ และความลงตัวอย่างพอดี เช่นเดียวกับเมื่อตอนที่ผู้เขียนทำหนังสือพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เมื่อ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๒
คราวนั้นหลวงปู่แว่น ธนปาโล มรณภาพเมื่ออายุ ๘๘ปี หนังสือที่ระลึกของท่านก็จบตอนที่ ๘๘ พอดี
และครั้งนี้ เขียนด้วยผู้เขียนคนเดียวกัน ทำหนังสือที่ระลึกหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม วัดป่าสามัคคีธรรม อำเภอเมือง ร้อยเอ็ด ท่านมรณภาพเมื่ออายุย่างเข้าปีที่ ๘๘ ประวัติของท่านก็จบในตอนที่ ๘๘ เช่นเดียวกัน
ก่อนปิดต้นฉบับ ผู้เขียนได้รับข้อเขียนจาก คุณวัฒนา ฉั่วชื่นสุข ลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ได้เขียนถึงหลวงปู่ ในชื่อเรื่องว่า พลังจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา จึงได้นำมาลงเป็นตอนที่ ๘๘ ตอนสุดท้ายเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่ ดังนี้
พลังจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา
ของหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม อายุ ๘๘ ปี
ใครจะคาดเดาได้ว่า ชีวิตที่แสนจะประเสริฐด้วยเมตตาของหลวงปู่ ได้ดับมอดไปแล้วจริง ในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
การละสังขารของหลวงปู่ ผู้เปรียบเสมือนผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้ใฝ่ธรรม ได้จากพวกเราไปอย่างถาวร เหลือไว้แต่คำสอน เพื่อนำไปปฏิบัติจนหลุดพ้นภพชาติให้ได้ สมกับที่หลวงปู่พูดไว้เสมอๆ ว่า จะมัวชักช้าอยู่ทำไม เวลาไม่คอยท่า มุ่งปฏิบัติให้มันจริงจังก็เข้าสู่กระแสธรรมได้ทุกๆ คน
ดิฉัน นางวัฒนา ฉั่วชื่นสุข ได้เข้าปฏิบัติกับหลวงปู่ ด้วยความบังเอิญ เนื่องจากได้รับคำสั่งจากหัวหน้าศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียน อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ให้ไปดำเนินการขออนุญาตใช้สถานที่ ที่เป็นอาคารที่ทำการของสภาตำบลเก่าหลังหนึ่ง ที่ว่างอยู่เพื่อใช้ในการสอนวิชาชีพระยะสั้น และเป็นที่พบกลุ่มของนักศึกษาสายสามัญ ชั้น ม.ต้น และ ม.ปลาย
การเข้าไปครั้งแรกที่วัดเทิงเสาหิน ดิฉันรู้สึกกลัวสถานที่มาก เนื่องจากมีอาณาเขตกว้างถึง ๘๐ ไร่ ถึงแม้จะห่างจากตลาดอำภอเทิงไม่มากนัก ถ้าจะพูดว่าวัดเทิงเสาหินเป็นป่าที่เกิดอยู่เกือบกลางเมืองก็น่าจะได้
ในบริเวณวัด มีโบราณสถานเก่าแก่ อายุเป็นพันปีและวิหารที่ก่อสร้างใหม่ มีพระพุทธรูปปางสิงห์หนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (หน้าตักกว้าง ๙ เมตร สูง ๙ เมตร) หลวงปู่บอกว่าในการสร้างนั้น มีญาติโยมส่งเงินมาทำบุญจากคนทั่วโลกก็น่าจะพูดได้ ดิฉันมองดูด้วยความรู้สึกศรัทธาเป็นอย่างมาก
ในวันที่เข้าไปกราบขออนุญาต หลวงปู่ ก็เมตตาอนุญาตให้ใช้สถานที่ได้ตามต้องการ และบอกให้จัดการปฏิบัติธรรมไปด้วย เพราะที่วัดนี้มีพระนักปฏิบัติอันเยอะ เพียงแต่ประชาชนในเขตนี้ไม่ค่อยสนใจและไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยราชการ
การดำเนินการจัดตั้งศูนย์การเรียนฯ จึงเกิดขึ้น และ หลวงปู่ได้มอบหมายให้ แม่ชีเพชรัตน์ เข้ามาช่วยเหลืออำนวยความสะดวก เมื่อเริ่มดำเนินการก็ได้ขยายพื้นที่ออกมาอีก ใช้ใต้ถุนศาลาที่ครอบพระประธานนั้น โดยปรับปรุงให้เป็นสถานที่สอนนักศึกษา กศน. ทำการเปิดสอนนักเรียนทั่วทุกตำบล หมู่บ้านในเขตอำเภอเทิง พร้อมกับการจัดปฏิบัติธรรม โดยมีหลวงปู่เป็นประธาน เปิดเป็น ศูนย์ปฏิบัติธรรมหลวงปู่เพ็ง พุทธธัมโม ขึ้นในเดือนมิถุนายน ๒๕๓๙ นับจำนวนผู้เข้าอบรม เฉพาะอบรมธรรมได้ ๖๒๘ คน
พอย่างเข้าเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๙ ซึ่งดิฉันจำได้ว่าเป็นวันที่ ๗ ก.ค. ๓๙ ดิฉันมีอากาปวดศีรษะอย่างมากทางซีกซ้าย ปวดมากจนมือเล็บเขียวไปหมด
สาเหตุมาจากไปงานศพเพื่อนครูที่ตายด้วยโรคเอดส์ ดิฉันไปถึงบ้านศพก็ได้กลิ่นสาบของศพมาก แต่คนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นไม่มีใครได้กลิ่น ดิฉันก็อดทน เพราะคิดว่าคงอยู่ไม่นาน
แต่อาการที่ทำให้ตกใจคือ ตาข้างขวาเริ่มพร่ามัวมองเห็นอะไรไม่ชัด จึงขอให้สามี คือ อ.วิเชียร ช่วยขับรถไปหาหลวงปู่ที่วัด แต่หลวงปู่มีกิจนิมนต์ที่ กทม. ก็เลยไปที่กุฏิแม่ชี ที่อยู่ด้านหลังวัด ขอยาแก้ปวดทานไป ๒ ครั้งๆ ละ ๒ เม็ด อาการทุเลา จึงไปพบแพทย์ประจำตัว แพทย์ลงความเห็นว่าดิฉันทำงานมาก คิดมาก เส้นเลือดในสมองตีบ เลือดไปเลี้ยงไม่พอ จึงฉีดยานอนหลับให้ กลับมานอนพักที่บ้าน
๘ ก.ค. ๓๙ ดิฉันรู้สึกมึนงงมาก แต่ก็ลุกจะไปทำงาน จึงได้รับประทานอาหาร พอกลืนอาหารก็รู้สึกว่าไม่สามารถกลืนลงได้ ข้าวติดอยู่ที่คอต้องค่อยๆ ตั้งสติ ล้วงเอาอาหารออกมา และรู้สึกถึงความผิดปกติครั้งใหญ่ และมีอาการชาที่ปลายนิ้วมือด้านขวา ลามถึงแขน ใบหน้าหยิกไม่เจ็บ ดิฉันรู้ได้ทันทีว่าต้องรีบปฐมพยาบาล ด้วยการใช้ยาหม่องนวดถูไปตามจุดที่คิดว่าสามารถคลายเส้นนั้นได้
๙ ก.ค. ๓๙ ดิฉันปรึกษากับสามีว่า ระหว่างโรงพยาบาล กับวัดหลวงปู่ จะไปทางไหน ในที่สุดก็ไปวัด กราบเรียนหลวงปู่ถึงอากาป่วยของดิฉัน ซึ่งในเวลานั้นดิฉันไม่ได้ทานอาหาร ๓ วันแล้ว แม้แต่น้ำก็ต้องค่อยๆ จิบ เหมือนนกกระจิบกระจอก
หลวงปู่ ได้จัดที่พักบริเวณใต้ถุนวิหารให้อยู่พักกับแม่ชี ๑ รูป ดิฉันได้พักอยู่ที่วัด ๒๐ วันอาการทรุดลงไปมาก เนื่องจากไม่ได้กินอาหาร ต้องทุกข์ทรมานกับเวทนา คือ หิว และปวดหัว และคอยนวดร่างกายทางซีกขวาไว้ เพราะกลัวเป็นอัมพาต
จนในที่สุด สามี คือ อ.วิเชียร ต้องลาบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ขอละเว้นชีวิต และดิฉันก็ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลในจังหวัดเชียงราย ในวันที่สามีบวชพอดี ช่วงนั้น หลวงปู่ ติดกิจนิมนต์ที่ กทม. นานหลายวัน
ในขณะที่ความรู้สึกเริ่มเลือนลางแทบจำอะไรไม่ได้ เพราะร่างกายเพลียมาก แม่ชีได้กรุณาอนุเคราะห์โทรบอกหลวงปู่ ท่านรีบบินกลับมาเยี่ยมดิฉันที่โรงพยาบาลเชียงรายทันที ดิฉันจำได้ว่าเป็นเวลา ๑ ทุ่มตรง
ความเมตตาของหลวงปู่ที่มีต่อศิษย์อย่างดิฉันหาที่เปรียบไม่ได้ ท่านบอกให้ดิฉันดื่มน้ำ ๑ แก้วเต็มๆ ดิฉันไม่กล้าดื่ม เพราะกลัวติดคอ หลวงปู่ก็บอกว่าให้ดื่มเสีย จะได้บรรเทาอาการป่วย ดิฉันตัดสินใจดื่มพรวดเดียวเกลี้ยง เป็นที่แปลกใจแก่ทุกคนที่อยู่ที่นั้นว่าทำไมดิฉันจึงดื่มได้ ทั้งๆ ที่ดื่มและกินอะไรไม่ได้นานถึง ๒๐ วัน
ดิฉันนอนรักษาตัวอยู่ ๗ วัน หมอก็เพียงแต่ให้น้ำเกลือ และในวันที่ ๗ นั้น หมอ ๒ ท่าน ตัดสินใจจะสอดกล้องส่องเข้าไปดูในลำคอเพราะสงสัยว่าจะมีก้อนเนื้อร้าย ต้องวางยาสลบด้วย แต่แพทย์ก็ยังไม่กล้าทำ เพราะร่างกายดิฉันอ่อนเพลียมาก การวางยาสลบจะเป็นอันตราย
ดิฉันนอนฟังหมออธิบาย และคิดว่าในเมื่อเราจะตายขอไปตายที่วัดกับหลวงปู่ดีกว่า จึงตัดสินใจขอออกจากโรงพยาบาลในขณะที่ร่างกายแย่ที่สุด ได้เหมารถกลับไปอำเภอเทิง
เมื่อถึงวัด ตรงขึ้นไปกราบหลวงปู่ บอกว่าทนไม่ไหวแล้ว ขอมาตายที่วัดหลวงปู่ดีกว่า หลวงปู่ก็เมตตาจัดให้ไปพักที่เดิม ให้แม่ชีมาคอยดูแล
หลวงปู่สอนให้ทำสมาธิภาวนา ดูลมหายใจเข้าออก ตรวจดูกายของตนเป็นที่ตั้ง เพียงแต่ให้คิดว่า คนเราตราบใดที่มีลมหายใจเข้า-ออก ถือว่าชีวิตนั้นยังดำเนินอยู่ ถ้าไม่มีลมเข้า-ออกในกายนี้ก็คือตาย ท่านจึงให้ตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ
ดิฉันเล่ามาถึงตรงนี้ คนทั่วไปคิดว่าง่ายมากแค่หายใจเข้า-ออกทำไมจะทำไม่ได้ แต่ขณะนั้นดิฉันป่วยหนักจวนจะตายก็ว่าได้ มันทำไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
ดิฉันได้สร้างกรรมมามาก เคยฆ่างูใหญ่ตาย เคยทำงานในสถานที่รับทำแท้ง (ถูกกฎหมาย) และทำมามาก วิบากกรรมจึงตามสนองอย่างรุนแรง รวมเวลาป่วยหนักถึง ๘ เดือน
แต่ด้วยอำนาจเมตตาจากหลวงปู่ ท่านเห็นคุณค่าแก่ทุกชีวิตที่มาขอพึ่งบารมี ท่านแผ่พลังแห่งความเมตตาช่วยรักษา ช่วยชุบชีวิตคืนให้แก่ติฉัน ทั้งๆ ที่ดิฉันนอนหมดลมหายใจไปแล้ว ให้ได้มีชีวิตกลับคืนมาอย่างไม่น่าเชื่อ
ธรรมะเพียงสั้นๆ ที่ท่านให้นำไปพิจารณาในสมาธิทำให้เห็นตามความเป็นจริง และรอดพ้นจากความตายได้อย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากดิฉันหายจากการเจ็บป่วยแล้ว ดิฉันได้ติดตามหลวงปู่มาตลอด ตามมาอยู่ปฏิบัติภาวนาที่วัดของท่านที่ร้อยเอ็ด จนถึงทุกวันนี้
ธรรมะและเมตตาจากหลวงปู่ นำพาชีวิตของดิฉันและครอบครัวให้หลุดพ้นจากวิบากกรรมมาได้ หลวงปู่สอนให้ ละชอบ-ละชัง ทำใจให้เป็นกลาง หมั่นฝึกสมาธิภาวนา ให้รู้จักพิจารณาอารมณ์ของตนเอง ว่าอารมณ์ใดเป็นอารมณ์เจ้าเรือน ก็ให้จี้พิจารณาละออกให้ได้ จนพบความสว่างของดวงจิต ก็จะสามารถก้าวไปสู่มรรค ผล นิพพานตามกำลังของตนเอง
ณ เวลานี้ ไม่มีร่างกายสังขารของหลวงปู่ที่จะคอยสอนคอยเตือน แต่ธรรมะที่หลวงปู่เคยสอนลูกหลานไว้ จะเป็นพลังชีวิตทางดำเนินชีวิตของศิษย์ไปตลอด ขอกราบแทบเท้าระลึกถึงหลวงปู่ตลอดไป
ด้วยความรักและศรัทธาสุดหัวใจ
จากศิษย์-วัฒนา ฉั่วชื่นสุข
เป็นอันว่าประวัติและปฏิปทาของ หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม จบลงในตอนที่ ๘๘ เท่าอายุของหลวงปู่พอดี
หากมีข้อผิดพลาดพลั้งไปประการใด ผู้เขียนกราบเท้าขอขมาต่อหลวงปู่ กราบขอขมาผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน และขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านด้วยใจเคารพ
ปฐม นิคมานนท์
๖ มีนาคม ๒๕๔๕